วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 16 ก่อนผ่าตัด

ไม่คิดเลยว่าแทนที่จะได้ผ่าหน้าอกกลับต้องมาผ่าท้อง เมื่อสัปดาห์ก่อน พึ่งจะกังวลว่าจะต้องโดนผ่าอก แต่ตอนนี้กลับต้องมากังวลเรื่องผ่าท้อง ซึ่งเป็นการผ่าที่ดูจะใหญ่กว่าการผ่าอกด้วย
ผมไปนอนรพ.ในห้องพิเศษที่ค่อนข้างจะดีห้องหนึ่งใน รพ.สวนดอกเพื่อผ่าตัด การผ่าตัดครั้งนี้นับว่าเต็มไปด้วยปัญหาและความกังวล นอกจากที่กลัวว่าก้อนนั้นจะเป็นมะเร็งแล้ว สภาพร่างกายของผมตอนนั้นไม่พร้อม เนื่องจากผมต้องกินยาสเตียรอยด์ดังนั้นการที่เข้ารับการผ่าตัดใหญ่นั้นอาจจะมีปัญหาช็อคได้เนื่องจากการกินยาสเตีรย์รอยนานๆจะทำให้ต่อมหมวกไตที่ปกติจะทำหน้าที่ในการสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์เหี่ยว เมื่อร่างกายเจอภาวะตึงเครียดบางอย่าง เช่น เจ็บป่วยหนักๆ หรือผ่าตัด ร่างกายเราจะต้องการฮอร์โมนสเตียรอยด์มากขึ้นแต่เมื่อต่อมหมวกไตอยู่ในภาวะเหี่ยวก็จะสร้างสารสเตียรอยด์ไม่เพียงพอ ร่างกายเราจะช็อค ดังนั้นผมต้องใด้รับยาสเตียรอยด์ขนาดสูงก่อนผ่าตัด อีกเรื่องที่เป็นปัญหาในการผ่าตัดคือการหายใจของผมขณะนั้นยังไม่ดีพอจากอาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้นหลังผ่าตัดผมอาจจะต้องใส่ท่อช่อยหายใจนอน ICU ก็เป็นไปได้ คิดแล้วกลุ้ม
ผมมานอนรพ. ก่อนผ่าตัด 2 วัน สิ่งที่ทำให้ผมกังวลอีก 1 เรื่องคิด ความดันโลหิตของผมสูงตลอดเวลา แต่ตอนนั้นผมยังหลอกตัวเองอยู่ว่าอาจจะเป็นเพราะเครียด กังวล
ช่วงก่อนผ่าตัด มีทั้ง อาจารย์หมอ แพทย์ประจำบ้าน และนักศึกษาแพทย์ มาหาผมตลอด บางคนก็คุยดีทำให้เราสบายใจ แต่ก็มีบางคนมาพูดวิเคราะว่าเราน่าจะเป็นมะเร็ง ทำให้ผมใจเสีย
โรคที่ผมเป็นได้รับการวิภาควิจารณ์กันไปต่างๆนาๆเพราะไม่มีใครเคยเจอโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงและมีผมร่วงกับแผลในปากร่วมกัน ตอนนั้นสิ่งที่หมอหลายๆคนเป็นห่วงคืออาการหายใจของผมที่ยังไม่ค่อยดีนัก ทุกคนกลัวว่าผมจะหายใจเองไม่ได้หลังจากออกจากห้องผ่าตักด
หนึ่งวันก่อนผ่าตัด ผมจำเป็นได้รับการล้างลำไส้ เนื่องจากว่าภาพจากฟิมล์ x-ray นั้นดูไม่ชัดว่าก้อนนั้นติดกับลำไส้หรือเปล่า ดังนั้นอาจจะต้องมีการผ่าตัดลำไส้ ผมต้องกินยาถ่ายอย่างแรง บวกกับกินแต่น้ำข้าว สรุปคือเพลียซิ คืนก่อนผ่าตัด ถ่ายตลอดเวลา นอกจากนั้นตอนเช้ายังเอายาสวนอุจจาระมาสวนอีก แล้วผมจะไหวไหมนี่
วันผ่าตัด เป็นวันหนึ่งที่ผมต้องจำไปตลอดชีวิต บอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรเครียด ตื่นเต้น กลัว คืนก่อนนอนนอนหลับๆตื่นๆ เช้าขึ้นมาก็มาโดนสวนลำไส้อีก หิวน้ำก็หิว ผมเข้าห้องผ่าตัดตอนสายๆ ช่วงที่นอนไปบนเปลเข็นนั้นผมรู้สึกใจหวิวๆ ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาจะเป็นอย่างไร จะต้องนอนคาบท่อช่วยหายใจใน ICU หรือเปล่า ตอนนั้นรู้เลยว่ากำลังใจจากครอบครัว สำคัญมากๆ ก่อนเข้าห้องผ่าตัดผมได้ยินน้องชายผมบอกว่า สู้ๆ
ในห้องผ่าตัด ก่อนที่จะดมยาหมอดมยาพยายามที่จะเจาะหลังเพื่อใส่สายให้ยาชา ตอนนั้นรู้สึกเจ็บมาก ผมได้ยินเสียงหมอดมยาสั่งให้ฉีดยาชนิดหนึ่ง ผมมองเห็นยาเดินมาตามสายน้ำเกลือแล้วก็ไม่ได้สติอีกเลย

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทที่ 15 ก้อนในช่องท้อง เพื่อนที่อยู่มานานโดยไม่รู้ตัว

"มีก้อนในท้อง ด้านหลัง(retroeritoneum) ขนาดประมาณ 9-10 cm ก้อนอะไรก็ไม่รู้" เพื่อนผมบอก ผมถึงกับทรุด เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกไม่อยากยอมรับความจริง "จะเป็นอะไรอีกว่ะนี่!"
หลังจากที่ดูโดยละเอียดแล้ว พบว่าเป็นก้อนเนื้อขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร อยู่ตรงช่องท้องด้านหลังเยื่อบุช่องท้อง (retroperitoneum) ด้านซ้าย เหนือต่อไตซ้ายนิดหน่อย ภายในก้อนมีแคลเซียมเกาะอยู่
ตกลงแล้วจะเป็นอะไรได้บ้าง ตอนนั้นผมมึนไปหมด ในใจคิดถึงโรคไป ร้อยแปดพันเก้า เป็นอะไรได้บ้างน่ะ TB Teratoma Angiolipoma
Paragangligoma Lymphoma Sarcoma ผู้อ่านไม่ต้องสนใจน่ะครับที่ผมอ่านมาเป็นภาษแพทย์ สรุปคือยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ที่พอให้ใจชื่นคือลักษณะของก้อนที่เห็นใน ฟิมล์ x-ray มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีลักษณะที่ทะลุทะลวงไปอวัยวะข้างเคียงทำให้ไม่น่าจะเป็นเนื้อร้าย(มะเร็ง) และการที่พบว่ามีแคลเซียมเกาะอยู่ข้างในคิดว่าน่าจะเป็นมานานแล้ว ซึ่งถ้าก้อนเป็นมะเร็งก็คงจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้แล้ว แสดงว่าก้อนนี้มันคงอยู่เป็นเพื่อยผมมานานมาก แต่ไม่รู้ตัว
สรุปการผ่าตัดไทมัสต้องยกเลิกไปก่อนโดยปริยาย แล้วต้องมาจัดการก้อนที่ท้อง หลังจากที่ได้ปรึกษากับหมอทางศัลยกรรมแล้ว ก็ตกลงว่าจะต้องผ่าตัด แต่หลังจากที่ดูฟิลม์ x-ray อย่างละเอียดแล้วเห็นว่าก้อนอยู่ในจุดที่อันตรายคืออยู่ใกล้เส้นเลือดแดงใหญ่มากกลัวจะเป็นอันตรายตอนผ่าตัดจึงเห็นว่าควรจะไปผ่าตัดในที่ที่มีความพร้อมมากกว่านี้ ผมเลยเลือกไปผ่าตัดที่เชียงใหม่
ผมได้กลับมาเชียงใหม่อีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้กลับมานานหลายเดือน หลังจากที่สอบผ่านก็ไม่ได้มาอีกเลย หลังจากได้กลับไปคุยกับ อ.ทางพยาธิวิทยาถึงวิธีการตรวจชิ้นเนื้อก้อนดังกล่าว ผมเห็นว่ายอมผ่าออกมาครั้งเดียวเลยดีกว่าโดนเจาะเอาเนื้อมากตรวจ เพราะเห็นไว่าไหนๆก็ไหนๆแล้วผ่าเลยดีกว่า
ผมได้มาพบกับอาจารย์ทางศัลยกรรม อาจารย์ทางศัลยกรรมเลยแนะนำให้ผมผ่าตัดทันที
ตอนแรกยอมรับว่ายังทำใจไม่ค่อยได้เลยที่ต้องผ่าตัด ตอนที่เป็นหมอดูแลคนไข้เคยผ่าคนไข้มาเยอะ แต่พอจะโดนผ่าเองยอมรับว่าทำใจยาก แต่ทำไงได้ เฮ้อ
สุดท้ายผมก็นอนโรงพยาบาลทันทีในวันที่ไปตรวจเพื่อรอผ่าตัดในอีก 2 วันถัดมา

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บทที่ 14 ก้อนอะไร


ผมกลับไปสอบเพิ่มเติมและผ่านได้อย่างโล่งใจ ผมได้เป็นพยาธิแพทย์เต็มตัวเสียที่ จะได้รับวุฒิบัติในปีนี้ แต่เพราะความเจ็บป่วยทำให้ผมไม่ดีใจมากเท่าที่ควรจะเป็น เพราะผมต้องกับมารักษาตัว
ตอนนั้นอาการของผมเรียกได้ว่าเจ็บป่วยเต็มที่เพราะนอกจากจะหัวโล้น ที่ทำให้แรกๆหมดความมั่นใจในการออกสังคมมากๆแล้วจะยังเหนื่อยง่าย เดินไกลไม่ได้ และมีแผลเต็มปากกินไม่ได้เลย แม้ว่าจะได้รับยาอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม อาการต่างๆมันหายไปอย่างช้ามากๆ ปาเข้าไป 4-5 เดือนที่แผลในปากจะหายไปเกือบ 80% จนผมสามารถกินอาหรเผ็ดๆได้บ้าง ซึ่งครั้งแรกที่ได้กลับมากินข้าวผัดกระเพราะนั้นน้ำตาแทบจะไหลเพราะว่านานมากที่ไม่ได้กิน
การรักษาโรค MG นั้นนอกจากการได้รับยาแล้วอีกอย่างคือการผ่าตัด อย่างที่ผมได้เคยเล่าให้ฟังว่าโรค MG นั้นสัญนิษฐานว่าเกิดจากความผิดปกติของต่อมไทมัส ดังนั้นการรักษาอีกอย่างคือต้องผ่าตัดต่อมไทมัสออกถึงแม้ว่าจะมีก้อนที่ไทมัสหรือไม่ การผ่าตัดเรียกเป็นศัพท์ทางการแพทย์ว่า thymectomy
ตอนนั้นถ้าพูดเรื่องการทำ thymectomy แล้วเป็นเรื่องที่ทำให้ผมหวั่นๆใจอยู่พอสมควร เพราะการผ่าตัดมันต้องผ่าเข้าทางหน้าอกโดยลงมีดทางกระดูกหน้าอกแล้วแหวกออกไปเอาต่อมไทมัสออกแล้วเอาลวดผูก(ตามรูปข้างบน) เย็บปิดแผล ตอนสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์เคยเข้าช่วยผ่าตัดหรือเข้าไปดูก็รู้สึกเฉยๆ แต่พอคิดว่าจะต้องเกิดกับตัวเองแล้วรู้สึกน่ากลัวมากๆ ปกติแล้วการผ่าตัดแบบนี้อาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจหลังผ่าตัด ซึ่งผมคิดแล้วท้อมากๆ ตอนทำงานเป็นแพทย์รักษาคนเคยใส่ท่อช่วยหายใจคนไข้มามาก แต่ตอนนี้ต้องมาโดนใส่เองแล้วตื่นมาก็ต้องนอนคาบท่อช่วยหายใจใน ICU ด้วย แค่คิดก็ท้อ
แต่ก็แค่ท้อครับเพราะสุดท้ายมันก็ถอยไม่ได้ ยังไงก็ต้องผ่า ยิ่งอาจารย์บางท่านแนะนำว่าให้รีบผ่าให้เร็วที่สุดเพราะยิ่งผ่าเร็วอาการก็จะมีโอกาสหายขาดได้มาก แต่ผมคงต้องรอให้อาการดีกว่านี้เสียก่อน
หลังจากรักษาไปได้ประมาณ 3-4 เดือนผมก็ลดยาเสตียรอดย์เพราะยากดภูมิคุ้มกันเริ่มออกฤทธิ์ ทำให้อาการหน้าบวมของผมเริ่มน้อยลง
จนผ่านไปประมาณ 6 เืดอนที่ผมต้องกินยามาตลอดอาการก็ดีขึ้นแบบช้าๆ อาจารย์หมอก็บอกว่าตอนนี้ฤดูหนาว สามารถผ่าตัดได้แล้วเลยแนะนำให้ผมผ่าตัด
หลังจากที่ได้คุยตกลงกับหมอผ่าตัด หาฤกษ์งานยามดีในการผ่าตัดแล้วก็คิดว่าควรจะต้องไปทำ x-ray computer หน้าอกดูก่อนว่ามีก้อนที่ไทมัสหรือเปล่า
วันทำ x-ray computer ผมตื่นเต้นมาก เพราะในใจกลัวจะเจออะไรผิดปกติ จนวัดความดันพบว่าความดันสูงมากๆ สูงถึง 160/120 แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นเพราะว่าตื่นเต้น
ผมเพิ่งรู้ความรู้สึกตอนฉีดสีก็ตอนทำตอนทำ x-ray computer นี่แหละตอนที่ฉีดสีจะรู้สึกร้อนไปทั้งตัวตอนนั้นคิดว่าตัวเองแพ้สารที่ใช้ฉีดแต่ผ่านไปซักพักอาการร้อนก็หายไป
หลังจากที่ทำ x-ray computer ผมได้เดินไปหาหมอ x-ray ที่เป็นเพื่อนกันแล้วถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เพื่อนผมตอบว่า "หน้าอกปกติดี ไทมัสก็ไม่มีก้อน แต่"
ผมพูดเล่นๆว่า "มีก้อนที่อื่นใช่ไหม"
เพื่อนผมยิ้มแห้งๆ "ใช่!"

"อะไรน่ะ!" ผมอุทานด้วยความตกใจ



วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 13 Myasthenia gravis

ในที่สุด ผมก็ได้กลับมาตรวจที่พิษณุโลก ผมไปพบอาจารย์ทางอายุรกรรม ผลคือเป็น myasthenia gravis
ผมรู้ทันทีโดยไม่ต้องมีคำอธิบายมากมายเพราะผมก็เป็นหมอ
อาจารย์บอกเพียงแต่ว่าต่อไปต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่ หายเครียด ห้ามอยู่ในที่ร้อนๆ ห้ามป่วย
แล้วก็สั่งยามาให้ผมกิน
วินาทีแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไรนั้น ผมไม่ได้เครียดเพราะในใจลึกๆแล้วกลัวจะเป็นโรคอย่างอื่นที่รุนแรงกว่านี้
แต่รู้ว่าเป็นโรคนี้ก็เลยโล่งใจมากกว่า
ก่อนอื่นจะขออธิบายให้ฟังก่อนครับ โรค myasthenia gravis หรือโรค MG นั้นไม่มีชื่อภาษาไทยแต่มักจะนิยม
เรียกว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคนี้เกิดจากภูมิเพี้ยนเช่นเดิม โดยที่เซลล์เม็ดเลือดขาวบางตัวที่มีหน้าที่สร้าง
โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแอนตี้บอดี้ (antibody) ทำหน้าที่ผิดปกติ โดยที่ปกตินั้น antibody นั้นจะทำหน้าที่ในการ
จับสิ่งแปลกปลอมเชื้อโรค เพื่อนำไปกำจัดทิ้ง แต่แอนตี้บอดี้ที่สร้างในคนเป็นโรค MG นั้นจะไปจับตรงบริเวณ
รอยต่อระหว่างกล้ามเนื้อและเส้นประสาททำให้สันญาณจากเส้นประสาทไปกล้ามเนื้อโดนยับยั้งทำให้กล้ามเนื้อ
อ่อนแรง คนไข้ก็จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งตัว เริ่มต้นจะเป็นที่กล้ามเนื้อมัดเล็กๆก่อน เช่น กล้ามเนื้อตา ทำให้
หนังตาตกเห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อการเคี้ยวการกลืนอาหารทำให้เคี้ยวลำบากกลืนอาหารไม่ได้ สำลักอาหาร
พูดไม่ชัด และถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อมัดอื่นๆก็จะมีอาการตามอวัยวะนั้น แต่ที่อันตรายคือถ้าเป็นมากกล้ามเนื้อทรวงอกที่
ช่วยในการหายใจจะอ่อนแรง ทำให้มีอาการเหนื่อยหายใจลำบาก จนอาจจะเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลวได้
สำหรับสาเหตุของโรคนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าทำไมเซลล์เม็ดเลือดขาวจึงสร้างแอนตี้บอดี้ที่เพี้ยนไปจากปกติ แต่พบว่าส่วนหนึ่ง
ของคนไข้ที่เป็น MG มีต่อมไทมัสโต หรือมีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส ดังนั้นจึงมีข้อสัญนิษฐานว่าต่อมไทมัสอาจจะเป็นสาเหตุ
ของโรค MG ได้ และนอกจากนั้นยังพบว่าในคนไข้ที่่เป็น MG นั้นถ้าได้รับการผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออกไปแล้ว
อาการ MG มักจะดีขึ้น จนบางคนหายขาดไปเลยยิ่งเป็นการสนับสนุนข้อสัณนิษฐานนี้
การรักษาโรค MG ก็เหมือนโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ คือสเตียรอดย์ และยังมียาอีกตัวชื่อว่า pyridostigmine (ชื่อการค้า mestinon)
เป็นยาที่มีผลในการเพิ่มสารเคมีบางตัวทำให้การจับของแอนตี้บอดี้ที่ผิดปกติตรงรอยต่อระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ
น้อยลง ทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น
พอผมได้กินยา pyridostrigmine แค่เม็ดแรกแค่เพียงครึ่งชั่วโมง อาการทุกอย่างของผมก็ดีขึ้นทันตา แม้จะไม่หายไปเลยก็ตาม
อาการหนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัดหายไปเลย รู้อย่างนี้น่าจะวินิจฉัยให้ได้ก่อนไปสอบก็น่าจะดี
แต่หลังจากที่อาจารย์แพทย์ได้ประเมินแล้วว่าอาการของผมเป็นมาก กลัวผมจะมีอาการหายใจล้มเหลว อาจารย์เลย
ตัดสินใจให้ยาอีกกลุ่ม คือยา immunoglobulin หรือ IVIg เป็นยาที่เป็นส่วนประกอบของ antibody ที่ผลิตขึ้นมาจากคน
โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดยาจะไปจับกับ antibody ที่ผิดปกติให้ antibody ที่ผิดปกติเสื่อมลง ยากลุ่มนี้ได้ผลดีแต่ราคาแพงมากๆ
ราคาเป็นแสน แต่ตอนนั้นอาการผมหนักมาก และต้องไปสอบอีกรอบเลยกลัวว่าผมจะไปหายใจล้มเหลวที่ กทม.
หลังจากได้ยา IVIg และยาสเตียรอดย์ รวมทั้ง pydostigmine อาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับพอดำเนินชีวิตได้ถึงจะไม่หายก็ตาม
คำถามที่ตามมาอีก 1 คำถามคือแล้วอาการแผลในปากและผมร่วง เกี่ยวกับโรต MG อย่างไร ไม่มีใครตอบได้แต่น่าจะเกิดจากเป็นโรคภูมิเพี้ยน
หลายอย่างพร้อมกัน อ่านในตำราแล้วก็ไม่มีเขียนไว้ว่า โรค MG จะมีแผลในปากชนิด lichen planus กับผมร่วง
แต่อย่างไรก็ตามการรักษาก็คือ steroid เหมือนกัน



บทที่ 12 การสอบที่ทรมาน (3)

ผลการสอบปรากฎว่าผมไม่ผ่าน แต่ผมไม่เครียดน่ะครับเพราะไม่ใช่ว่าผมจะไม่เลยทีเดียว คะแนนข้อเขียนของผมต่ำกว่าเกณท์นิดหน่อย แต่คะแนนปฎิบัติกับการสอบปากเปล่าผ่าน ผมเลยได้โอกาสสอบข้อเขียนใหม่อีก 1 สัปดาห์ถัดมา แสดงว่าผมต้องเข้ามา กทม. อีกรอบ ตอนนี้ผมขอกลับไปดูตัวเองก่อน
การเดินทางกลับจาก ศิริราชไปยังพิษณุโลกครั้งนี้ แทบจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้ง เพราะความเหนื่อยที่เป็นมากถึงมากที่สุด และอาการกลืนอะไรไม่ลง รวมทั้งต้องแบกกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ๆ แบบที่ผมเคยทำเป็นประจำ มันทำได้ยากลำบากมากตอนนั้น กว่าผมจะออกจากศิริราชได้ ผมลองดบก taxi ในศิริราช เผื่อจะมีใครรับแต่ก็ไม่มี กว่าจะลากตัวเองมาที่ วังหลังได้ ก็ต้องพักหลายรอบ กว่าจะมี taxi ยอมไปส่งที่หมอชิตก็ต้องรอหลายคันมากเพราะตอนนั้นเป็นเวลา 16.00 น เวลาที่ต้องส่งรถ กว่าจะมาถึงหมอชิตก็มืดแล้ว
ตอนที่หมอชิตผมพยายามจะหาข้าวกินเพราะหิวมาก 3 วันที่ผมไปสอบที่ ศิริราชนั้นแทบจะไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถกลืนข้าวได้เลย หลังจากที่พยายามกลืนถึงครึ่งชั่วโมง เลยลองมาซื้อนมกินก็ยังกินไม่ได้ สรุปว่าผมกลืนไม่ได้ทั้งน้ำ อาหารผมพาร่างกายที่หิวโหย และกำลังเหนื่อยล้า แทบจะเป็นลมไปขึ้นรถทัวร์ซึ่งอยู่ชานชลาไกลออกไป เป็นการเดินที่เหนื่อยมาก ผมแทบจะเป็นลม แต่ก็ยังฮึดจนมาขึ้นรถได้ มีหลายคนพูดว่าอยู่ถึงศิริราช โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยทำไมไม่ตรวจที่นั่น เป็นเพราะว่าผมอยากกลับมาหาเพื่อนคนรู้จักมากกว่า อีกอย่างตรวจที่พิดโลกก็มีคนรู้จักเยอะ อุ่นใจกว่า
ดึกวันนั้นผมมาถึงพิษณุโลกด้วยอาการ เหนื่อยล้า และคิดว่าพรุ่งจะไปตรวจเสียที ส่วนการสอบเอาไว้ก่อน การงานจะเป็นยังไงก็เอาไว้ก่อนขอเอาชีวิตไว้ก่อน

บทที่ 11 การสอบที่ทรมาน (2)

ผมมาถึงสนามสอบที่ศิรฺราชด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ แค่การแบกกระเป๋าไปยังหอพักก็เหนื่อยจนต้องนั่งพักหลายครั้ง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพื่อนๆหลายคนเริ่มทักผมว่าผมมีอาการแปลก ตลอดเวลาที่ผมไปอยู่ที่สนามสอบที่ศิริราชผมแทบจะไม่ได้กินอาหารเลย เพราะกินอะไรไปก็กลืนไม่ได้ แม้แต่อยู่เฉยๆยังกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้
วันสอบวันแรกผ่านไปได้อย่างไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเป็นเพียงการสอบข้อเขียน มีแต่คนทักว่าทำไมผมถึงโกนหัวแล้วทำไมจึงพูดไม่ชัด ผมก็ตอบไม่ได้เหมือยกันว่าทำไม
วันที่สองของการสอบเริ่มเป็นการสอบที่ต้องใช้ตามากขึ้นคือต้องสอบมองกล้องจุลทรรศน์ ปรากฎว่าอุปสรรค์เริ่มเกิดขึ้นคือ ผมเห็นภาพซ้อนและหนังตา 1 ข้างมันปิด ทำให้ผมดูลำบากมาก ต้องเอามือปิดตา 1 ตาเพื่อไม่ให้ภาพมันซ้อน เป็นการสอบที่ไม่มั่นใจมากเลยเพราะขนาดคนตาดีๆยังไม่ค่อยจะได้แล้วนี่ผมดุด้วยตาข้างเดียว จะผ่านหรือเปล่าก้ไม่รุ้ หลังสอบในวันนั้นผมกลับห้องพักมาแบบท้อแท้เหลือเกิน คิดว่าคงจะไม่ผ่านแน่นอน ผมเริ่มคิดถึงตัวเองมากขึ้น ตอนนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเราไม่สนใจตัวเองเลย คิดว่าพรุ่งสอบอีกครึ่งวัน ไม่ว่าผลจะเป้นอย่างไรผมจะต้องไปรักษาตัวเองก่อน
การสอบวันสุดท้ายเป็นการสอบปากเปล่า คือเข้าไปในห้องแล้วจะมีอาจารย์นั่งอยู่ในห้องซัก 3-4 คนแล้วจะมีโจทย์ให้เราอ่านหรือให้เรารายงานผู้ป่วยที่เราเคยตรวจ (ศพ) หลังจากนั้นอาจารย์ก็จะรุมยำรุมถามเรา ปกติเป็นการสอบที่เครียดแล้วก็กดดันมาก ก่อนสอบผมสอบเอารายงานการตรวจ(ศพ)ผู้ป่วยมาลองพูดดู แต่ก็มีอุปสรรค์คือผมไม่สามารถจะพูดให้ชัดได้ และเป็นมากจนถึงฟังแทบจะไม่รู้เรื่องเลย
วันสอบวันสุดท้าย ผมได้เดินไปหาอาจารย์ที่คุมสอบแล้วบอกอาจารย์ว่าผมไม่สบาย พูดไม่ชัดผมจะสอบได้หรือเปล่า ผมว่าอาจารย์คงงงแต่ก็บอกว่าถ้าพอพูดได้ก็ให้สอบไปก่อน
การสอบปากเปล่าของผมนั้นเป็นการที่ไม่เครียดเลยสำหรับผม เพราะผมเครียดเรื่องความเจ็บป่วยมากกว่า ผมแทบจะไม่สนใจเลยว่าผมจะตอบได้หรือไม่ได้ คิดแค่สอบๆให้มันจบๆไป ซึ่งปรากฎว่าการที่ผมไม่ประหม่าทำให้ผมตอบคำถามได้ดีกว่าที่คิดแฮะ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ชัด และอาจจะได้คะแนนสงสารด้วยเพราะผมแอบเห็นอาจารย์หลายท่าน ลุ้นๆตอบผมตอบคำถามด้วย
หลังสอบเสร็จผมรู้สึกโล่มากๆ ผมมาลุ้นฟังสอบ ผมแทบจะไม่สนใจเลยว่าจะสอบผ่านไหม แต่ที่แน่ๆคืออาการประหลาดต่างๆไม่หายไป แสดงว่าผมคงมีโรคอะไรแน่นอนเลย

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 10 การสอบที่ทรมาน (1)

และแล้ววันที่ผมจะสอบก็ก็มาถึง ผมเดินทางเข้า กทม. เพียงคนเดียวทางรถทัวร์ ก่อนหน้าจะสอบได้ 1 สัปดาห์ผมรู้สึกว่าอาการผมหนักมากเพราะบางม้ือก็กินอาหารไม่ได้เลย กลืนไม่ได้ เดินขึ้นบันไดแค่ชิั้นเดียวก็เหนื่อยเหมือนไปวิ่งมาซัก 10 กิโลเมตร และอีกอย่างคือ ตามันเห็นภาพซ้อนมากขึ้น แต่ผมก็คิดว่า ยังไม่ต้องไปสนใจมัน สอบก่อน เรื่องอื่นค่อยว่าทีหลัง วันที่ผมเดินทางเข้า กทม. ไปสอบที่ศิริราชเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ไหนจะการสอบวุฒิบัติที่ค่อนข้างจะเครียดแล้ว ยังต้องมาทรนานกับอาการที่แสนจะประหลาดที่สุด ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผมจะพยายามคิดว่ามันน่าจะเกิดจากความเครียดก็ตาม แต่อาการบางอย่างมันไม่น่าจะอธิบายด้วยความเครียด
การสอบวุฒิบัติครั้งนี้เป็นการสอบที่กดดันมากๆ เดิมพันถึงชีวิตการทำงานในอนาคตเลย เพราะถ้าผมสอบไม่ผ่านจะไม่มีที่อยู่สำหรับผมเลยที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าถ้าผมไม่ได้วุฒิบัติแล้วผมจะไม่สามารถอ่านผลทางพยาธิวิทยาได้ แล้วจะกลับไปทำงานยังไง แบบไหน ขออธิบายนิดหนึ่งครับ ปกติหมอที่จบ แพทย์ศาสตร์บัณฑิตนั้นเมื่อได้ใบประกอบวิชาชีพแล้วกฎหมายนั้นรับรองให้สามารถตรวจคนไข้ได้ สามารถจ่ายยา ผ่าตัด ทำคลอดได้หมด ดังนั้นถ้าหมอมาเรียนต่อเแพาะทางบางสาขาเช่น เป็นหมอสูตินรีเวช หรือหมอผ่าตัด ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะสอบวุฒิบัตรไม่ผ่านก็ยังสามารถมาทำงานผ่าตัด ทำคลอดได้ เพราะแค่จบแพทย์กฎหมายก็อณุญาตไว้แล้ว เพียงแต่อาจจะมีผลในเรื่องเงินเดือนค่าตอบแทนน้อยกว่าหมอที่มีวุฒิบัติ แต่หมอพยาธินั้นถ้าผมสอบไม่ผ่าน ผมจะไม่สามารถออกผลได้เลยเพราะตามกฎแพทยสภาแล้วแพทย์ที่อ่านผลต้องได้วุฒิบัตรแล้ว ดังนั้นถ้าผมสอบไม่ผ่านผมกลับมาจะไม่มีที่อยู่สำหรับผม ดังนั้นจึงเป็นงานบังคับว่า ต้องผ่าน
ที่เล่ามาคือความกดดันที่ผมเจอ ผมรู้สึกว่าตัวเองแบกความเครียดไว้มากเหลือเกิน ผมจะสอบได้ไหม ต้องติดตามกันต่อไป

บทที่ 9 อาการมาครบสูตร

หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลศิริราชมาอยู่เชียงใหม่ อาการต่างๆแปลกๆที่เคยเล่าให้ฟัง มันกลับมาจนครบ ผมคิดว่าแปลกจริง ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะหยุดยาไปเลย เป็นอะไรก็เป็น สอบเสร็จคงหาย ตอนนั้นเป็ช่วงก่อนสอบไม่นาน สภาพผมแทบดูไม่ได้ หนังตาแทบจะปิด มองเห็นภาพซ้อน ไปตรวจกับหมอตาก็ว่าตาแห้ง คงจะเกิดจากดูกล้องจุลทรรศ์มากกเกินไป ได้น้ำตาเทียมมาหยอด ผมคิดในใจว่า ตาแห้งมันทำเห็นภาพซ้อนได้เลยหรือนี่ อาการเห็นภาพซ้อนบางที่เป็นมากจนผมอ่านหนังสือไม่ได้เป็นสัปดาห์ยิ่งทำให้ผมเครียด นอกจากนั้นก็ยังพูดไม่ชัดมากขึ้น กลืนอาหารก็ลำบาก เดินไปก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยง่าย ผมร่วงเริ่มจะร่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะแผลในปากที่ไม่มีแววว่าจะหาย
ที่เล่ามามันเป็นมาก แต่แปลกที่ตอนนั้นผมไม่สนใจอาการพวกนี้เลย ผมคิดว่าคงจะเกิดจากความเครียด ถ้าใครได้ลองไปถามแพทย์ที่เป็นแพทย์ฌฉพาะทางก็จะรู้ว่าการสอบเอาวุฒิบัติเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางนั้นมันเครียดแค่ไหน เพราะเราต้องรู้จริงในสาขาที่เราจะจบ ต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษเป็นเล่มๆแล้วต้องยัดใส่ไปในสมองให้หมด ใครไม่เครียดก็แปลก ตอนนั้นผมไม่สนใจอาการเหล่านั้นเลย คิดเสียว่า สอบเสร็จคงหาย
ยิ่งใกล้วันสอบ ผมที่หัวผมก็เริ่มจะจัดทรงไม่ได้เพราะมันร่วงจนแทบจะไม่เหลือ ตาก็บางทีก็เห็นภพซ้อน บางทีก็ดี นอกนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เดินไกลก็จะรู้สึกเหนื่อยต้องนั่งพัก จริงๆแล้วผมก็กังวลเหมือนกันเกี่ยวกับอาการที่หาคำตอบไม่ได้แบบนี้ แต่ตอนนั้นยอมรับว่ากังวลเรื่องสอบมากกว่า คิดว่าสอบเสร็จแล้วค่อยว่ากัน ผมของผมร่วงมากขึ้น ยาทาก็เอาไม่อยู่ ตื่นมาตอนเช้าจะเห็นกองผมเต็มหมอนเลย สุดท้ายผมต้องไปโกนหัวเพราะมันจัดทรงไม่ได้แล้ว

บทที่ 8 แผลในปากไม่หายง่ายๆ

ก่อนจะสอบวุฒิบัติได้ประมาณ 3 เดือน ผมได้ไปฝึกดูงานเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลา 1 เดือน เหมือนว่าความเจ็บป่วยประหลาดๆที่ผมเป็นมันจะรู้ อาจจะกลัวว่ามาอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ อาการมันกลับสงบลงอย่างประหลาดทำให้ผมคิดว่าผมคงไม่เป็นอะไร คงไว้คืออาการแผลในปากที่ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะอัดด้วยยาสเตรียรอยด์ขนาดสูงมากๆก็ตาม
แค่อากรแผลในปากที่มันกัดกินผมมานาน มันทำให้ผมดำเนินชีวิตลำบากมาก ยิ่งช่วงที่ไปอยู่ที่ โรงพยาบาลศิริราชแล้วรู้สึกว่าแผลในปากมันจะไวต่อพวกพลิกมากๆ เวลากินอาหารที่มีพริก หริกไทย ปนมากเล็กน้อย มันจะแสบแบบสุดๆ ขนาดกินน้ำไปเป็นขวดๆก็ไม่หายจนหลายมื้อผมอิ่มน้ำแทนเลย ตอนที่ไปอยู่ศิริราช เวลาสั่งอาหาต้องบอกว่าอย่าใส่หลิกหรือว่าพริกไทยเด็ดขาด เพราะผมจะกินไม่ได้เลย เคยถึงขนาดทะเลาะกับเด็กเสริพเลย เพราะสั่งว่าไม่ใส่พริก มันดันใส่มา พอผมต่อว่ามันก็เถียงว่า พริกไม่เยอะ เด็กๆก็กินได้ ผมอารมณ์เสียมากจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไปเลย
1 เดือนที่อยุ่อยู่ที่ โรงพยาบาลศิริราช แผลในปากนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลยผมเลยตัดสินใจว่าจะหยุดสเตรียรอยด์ดีกว่า กินไปก็ไม่มีผลดี ยิ่งตอนนี้ส่องกระจกแล้วหน้าบวม ท้องลายไปหมด อาการต่างๆน่าจะมาจากความเครียดจากการเตรียมตัวสอบก็ได้ ถ้าสอบเสร็จ มันก็คงดีขึ้นเอง อันนั้นคือความของผมขณะนั้นผมเลยค่อยลดยาสเรียรอดย์ เป็นไงเป็นกัน

บทที่ 7 มนุษย์สเตรียรอยด์

ผมต้องกลับมากปรึกษากับอาจารย์แพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง อาจารย์ได้แนะนำให้ผมใช้ยาทาชนิดที่ทำมาจากยากดภูมิคุ้มกัน เป็นยาที่ทำมาทาผิวหนังแต่ก็พอจะทาในปากได้บ้าง

"โรคนี้ยารักษามันไม่ค่อยมี ลองเอาแบบนี้ทาไปก่อน" หลังจากที่ผมได้เอายาทาผิวหนังมาทาปากทำให้ผมรู้เลยว่ารสชาดแล้วร้ายเป็นอย่างไร ทั้งรสทั้งกลิ่นมันไม่น่าพิศมัยเลย

ด้วยความที่ผมทนรสและกลิ่นของยาทาผิวหนังไม่ได้ ผมจึงได้ไปอ่านตำราเกี่ยวกับการรักษา lichen planus อย่างจริงจังทำให้ผมคิดว่าจะต้องกลับไปใช้ยาสเตียรอดย์เหมือนเดิม แต่อาจจะลองกินแบบสูตรใหม่ตามตำรา เพราะทนยาทาไม่ไหว อีกอย่างแผลมันก็เริ่มเป็นมากขึ้นอีก ผมได้คุยกับอาจารย์แพทย์ทางผิวหนัง อาจารย์ก็เห็นด้วย โดยการที่ผมต้องเริ่มใช้ยาสเตรียรอยด์ในขนาดสูง (สูงกว่าครั้งแรก) แล้วคงไว้นานหน่อยจนอาการมันหายไปจึงค่อยลดยา

ในระหว่างนั้นเองผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการประหลาดที่เคยเล่าให้ฟังมันกลับมาวนเวียน แต่มีอากรใหม่กว่านั้นคือผมรู้สึกว่าตาจะอักเสบ แรกๆนั้นผมไม่ได้สนใจมากเพราะตาอักเสบจากการแพ้ลมแพ้ฝุ่น มันเป็นโรคประจำตัวของผมมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เริ่มรู้สึกว่าจะมีเห็นภาพซ้อนด้วยแฮะ เป็นพักๆแล้วหายไป ผมก็ไม่ได้แอะใจอะไรไป

วันหนึ่งไม่นานนัก ขณะที่ผมทำงานอยู่ในภาควิชา อาจารย์แพทย์ทางพยาธิวิทยาท่านหนึ่งก็ทักผม

"อภิชาติ เธอเป็น Alopecia areata ตรงขมับข้างขวา"

" จริงหรอกครับ" ผมรีบเอามือคลำ ก็พบว่าเป็นจริงๆ

"จะเป็นอะไรอีกล่ะนี่ "

ขออธิบายก่อนน่ะครับ คำว่า alopecia ส่วน alopecia areata เป็นลักษณะผมร่วงชนิดหนึ่งคือร่วงเป็นหย่อมๆ ส่วนใหญ่เป็นกลมๆเท่าเหรียญ สาเหตุก็ส่วนมากก็ภูมิเพี้ยนนี่แหละ ที่มาทำลายรากผมจนมันหลุดร่วง ส่วนสาเหตุที่ทำไมจึงเกิดภูมิเพี้ยนก็ไม่รู้ แต่มักจะเจอสัมพันธ์กับโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ ความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อมๆได้

เอาล่ะซิ ผมเริ่มเซ็งเหมือนมันจะเป็นอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบแปลกๆ จนผมต้องจนปัญญา

" อย่าไปคิดมาก ไปหายามาทาซิ" อาจารย์โรคผิวหนังบอกหลังจากที่ผมไปพบ

"เธออาจจะเครียดเรื่องสอบก็ได้ ผมเลยร่วง"

ว่าแล้วอาจารย์ก็สั่งยาทาให้ผมเป็นยาสเรียรอดย์ชนิดทา

"เอาไปทาซะ"

นี่เรากำลังจะกลายไปเป็นมนุษย์สเตีรยรอยด์แล้วหรือ ผมคิด

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 6 เรื่องยังไม่จบง่ายๆ

หลังจากที่ผมกินยาที่ได้มาจากอาจารย์ทันตแพทย์แค่เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น แผลในปากของผมก็หายไปเกือบหมด เหลืออยู่ประมาณแค่ซัก 20-30% ของแผลที่เป็นตอนแรกๆ ซึ่งถือว่าได้ผลเกินคาด ผมได้ไปพบกับอาจารย์ทันตแพทย์ อาจารย์ก็บอกว่าการรักษาเป็นผลที่น่าพอใจ ตอนนั้นผมอยากจะขอหยุดยาและขอให้อาจารย์ทันตแพทย์ถอนฟันที่ผุให้ แต่ผมก็ได้รับการปฎิเสธเพราะอาจารย์ทันตแพทย์เห็นว่าแผลในปากยังหายไม่หมดและผมยังต้องกินยาต่อไปเพื่อให้แผลหายดีกว่านี้จนหายหมดปาก จริงๆแล้วผมก็รู้ แต่ผมไม่อยากจะกินยาสเตียรอยด์นานๆ
ปกติแล้วคนเรานั้นถ้ากินยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์นานเกินกว่า 2 สัปดาห์ ร่างกายของเราจะรับรู้ว่าได้รับสารสเตียรอยด์พอแล้ว ต่อมหมวกไตที่ปกติมีหน้าที่ในการสร้างฮอล์โมนสเตียรอยด์จะหยุดสร้างและจะเหี่ยวตัวจนมีขนาดเล็ก ดังนั้นหมายความว่าถ้าเข้าถึงระยะนี้แล้วเราจะหยุดกินยาไม่ได้เลยถ้าเราหยุดยาโดยกระทันหันแล้ว ต่อมหมวกไตที่เหี่ยวและหยุดทำงานชั่วคราวนี้จะไม่สามารถสร้างฮอล์โมนสเตียรอยด์ได้เพราะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทำให้ร่างกายเราขาดสเตียรอดย์ทันทีและถ้าเราเกิดเจ็บป่วยหรือไม่สบายจากภาวะอะไรก็ตาม เราก็จะช็อคได้เพราะเราขาดฮอล์โมนสเตียรอยด์ เท่าที่พูดมานั้นก็หมายถึงตัวผมในขณะนี้ซึ่งผมต้องกินยาไปเรื่อยๆแล้วถ้าจะหยุดยาต้องค่อยๆลดยาลงไปทีละน้อยทีล่ะน้อย เพื่อให้ต่อมหมวกไตที่เหี่ยวนั้นค่อยๆฟื้นตัว
ผ่านไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผมได้รับยาสเตียรอยด์ขนาดสูง แผลที่มันเหลืออยู่ไม่มาก ที่ตอนแรกคิดว่าน่าจะหายไปแล้วแต่กลับไม่หายตามที่คิดไว้ แต่ผมกลับสังเกตว่าผมเริ่มน้ำหนักขึ้น เกือบเป็นหลักร้อย หน้าบวม ท้องลาย นั่นแสดงว่าผมโดนพิษของยาสเตียรอดย์เข้าซะแล้ว ผมต้องระวังตัวในการทำงานมากขึ้นเพราะผมมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำชั่วคราวเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ
ผมกลับไปตรวจอีกครั้งหนึ่งกับอาจารย์ทันตแพทย์ อาจารย์ถึงกับส่ายหน้าเพราะแผลในปากที่เหลือกลับไม่หายไปตามที่คาดไว้ ผมจำเป็นต้องเพิ่มการรักษาใหม่คือการฉีดยาเข้าไปที่แผลโดยตรง ยาก็ไม่พ้นยาสเตียรอยด์ แต่ทำมาในรูปแบบฉีด เอายามาผสมกับยาชาแล้วฉีดเข้าไปที่บริเวณใต้แผล
แต่ผลการรักษากลับไม่ได้ดีดังคาดมากนัก แผลที่เหลือนั้นมันแสนดื้อด้านไม่ได้ดีขึ็นซักเท่าไหร่ ทำให้ที่ผมคิดว่าอาการเจ็บป่วยนี้มันจะจบง่ายกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ช่วงนั้นเองผมเริ่มรู้สึกว่ามีความผิดปกติอื่นๆเกิดขึ้นกับร่างกายของผม
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาผมรู้สึกว่าผมมีความลำบากในการแปรงฟันป้วนน้ำมาก เป็นอาการที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าผมไม่สามารถที่จะป้วนเอาฟองยาสีฟันทิ้งไม่สะดวกเหมือนปกติ ต้องป้อนหลายครั้ง เหมือนลิ้นหรือกระพุ้งแก้มไม่ยอมทำงาน ทำให้ผมแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สนใจ พอมากินข้าวก็รู้สึกว่าเวลาเคี้ยวข้าวจะเคี้ยวยาก เคี้ยวนานกว่าปกติ แต่ทำไมก็ไม่รู้ แต่เหมือนจะมีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่มี ผมคิดว่าถ้ามีคนไข้มาหาผมด้วยเรื่องเคี้ยวข้าวนานกว่าจะกลืนได้ ผมคงมืดแปดด้านไม่รู้คนไข้เป็นอะไรเป็นแน่ แต่อาการที่ว่ามันเป็นไม่่นาน ซักพักมันก็หายไป พอมาถึงมื้อกลางวันก็ไม่เป็น จนผมก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก อีกอาการที่แทบจะมาพร้อมกันคือปวดบริเวณต้นคอด้านหลังมาก ปวดจนต้องเอามือลองคางไว้เวลานั่งดูกล้องจุลทรรคน์ เหมือนคอมันไม่มีแรง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากคิดว่าคงเป็นเพราะเรานั่งดูกล้องจุลทรรศน์มาก อาการทุกอย่างนั้น ช่วงแรกๆมันมาพอเป็นช่วงๆให้ผมแปลกใจแต่หลังๆเป็นมากขึ้นเป็นหลายวันแล้วหายไป แต่มีอาการใหม่เพิ่มมาเรื่อยๆจนอาการที่ผมตั้องไปตรวจคือ ผมจะรู้สึกว่าผมจะพูดไม่ชัด พูดเหมือนคนเป็นหวัดบวกคนลิ้นไก่สั้น โดยเฉพาะคำที่เป็นพยัญชนะ ดอเด็ก จะออกเสียงเป็น นอหนู เช่น เด็กดี ก็จะพูดเป็น เน็กนี อาการนี้จะมาไม่เป็นเวลา เป็นๆหายๆ แต่แน่ๆตอนนั้นไม่เป็นหวัด ผมเลยจะไปหาเพื่อนที่เป็นหมอหูคอจมูก แต่ปรากฎว่าตอนเจอเพื่อนอาการพูดไม่ชัดก็หายไป สุดท้ายก็ไม่ได้ตรวจ ตอนนั้นผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอาการพูดไม่ชัดนี้เกิดจากอะไร ทั้งๆที่ผมเป็นหมอ ได้แต่สัญนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการที่เรามีแผลในปากทำให้พูดไม่ชัดก็เป็นไปได้ รวมทั้งผมมีฟันผุที่ยังปวดมากๆอยู่ทำการขยับลิ้นมีปัญหาหรือเปล่า
ผมกลับไปตรวจกับทันตแพทย์ตามนัด ปรากฎว่าอาจารย์ทันตแพทย์ส่ายหน้าบอกว่าแผลในปากผมไม่หายไปและมีแนวโน้มว่าจะกลับขึ้นมาอีก
"ผมคิดว่าจะส่งหมอไปปรึกษากับอาจารย์ที่คณะแพทย์ เพราะแผลในปากหมอไม่ดีขึ้นเลย กลัวหมอจะมีโรคอื่นซ่อนอยู่ เพราะเท่าที่ผมเคยรักษามาส่วนใหญ่ก็จะหายแล้ว" อาจารย์ทันตแพทย์กล่าว
ผมใจไม่ดีล่ะ "ถ้างั้น วันนี้ผมขอถอนฟันได้ไหมครับ เพราะมันปวดมานานไม่หาย" ผมเริ่มต่อรอง
"แผลในปากหมอมันยังไม่หาย เราไม่กล้าถอนหรอกครับ เพราะฟันซี่ที่ผุมันเป็นฟันครุฑด้วย อาจจะต้องไปงัดไปง้างมาก แผลมันจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าวันนี้จะขูดหินปูนให้ก่อน ถ้าหมอไปรักษาแผลในปากจนหายแล้วก็กลับมาถอนฟันน่ะครับ"
ผมเศร้าเลย แต่ก็เอาล่ะขูดหินปูนซะหน่อยก็ยังดี แต่ในระหว่างที่ขูดหินปูนนั้นผมต้องขอเบรกจนได้เพราะผมรู้สึกว่าน้ำมันไหลกลับเข้าไปในโพรงจมูกมากจนผมสำลักสุดท้ายก็ไม่ได้ขูด ซึ่งแปลกมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ผมจะเป็นอะไรน่ะนี่ หรือว่าผมจะมีโรคอะไรที่มากกว่านี้

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 5 โรคภูมิเพี้ยน

ผมกำลังจะจบเป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาพยาธิวิทยา สาขาที่ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยโรคจากการตรวจชิ้นเนื้อ แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องได้มาอ่านผลชิ้นเนื้อของตัวเอง
ในวันที่ผมมาฟังผลชิ้นเนื้อ อาจารย์ทันตแพทย์ได้เชิญผมไปดูสไลด์ชิ้นเนื้อที่ปากของผม พอผมดู ผมรู้เลยว่าผมโดนโรคภูมิเพี้ยนเล่นงานเข้าเสียแล้ว สรุปแล้วแผลในปากที่ผมเป็นมันมีชื่อโรคว่า lichen planus
ท่านผู้อ่านคงจะงงแล้วละซิครับว่าคืออะไร ผมจะอธิบายให้ฟัง
โรคภูมิเพี้ยนที่ผมพูดนั้น หมายถึงโรคที่ที่เกิดจากภูมิต้านทานมันทำงานผิดปกติโดยนอกจากจะทำงานต่อต้านเชื้อโรคสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาสู่ร่างกายแล้ว มันยังคิดว่าร่างกายเป็นสิ่งแปลกปลอมด้วย มันจึงทำลายร่างกายตัวเอง โรคนี้มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า autoimmune disease สำหรับชื่อทางภาษาไทยมักจะเรียกว่าโรคภูมิต้านทานต้านตัวเอง แต่ผมเคยเห็นหนังสือบางเล่นเค้าจะเรียกว่าโรคภูมิเพี้ยนซึ่งผมว่า คำว่าโรคภูมิเพี้ยนมันสื่อความหมายได้ดีกว่า เลยเรียกว่าโรคภูมิเพี้ยน โรคภูมิเพี้ยนนี้ มีหลายชนิดครับ มีทั้งแบบเป็นเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้มีอะไรมาก เช่นพวกผื่นผิวหนังบางชนิด จนเป็นโรครุนแรงจนถึงชีวิต โรคภูมิเพี้ยนที่ดูจะรุนแรงที่สุด คือ โรค SLE ที่ราชินีลูกทุ่งของไทยเรา คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ป่วยนั่นเอง จนบางคนเรียกกันว่าโรคพุ่มพวง โรค SLE นี้ภูมิคุ้มกันมันเพี้ยงชนิดรุนแรงเลยก็ว่าได้ มันจะทำลายทั้งตับ ไต หัวใจ สมอง ผิวหนัง เม็ดเลือด ข้อต่อ และอื่นๆอีก ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจจะถึงแก่ชีวิต
ถ้าถามว่าแล้วโรคภูมิเพี้ยนเกิดจากอะไร ปัจจุบันแพทย์แผนปัจจุบันนั้นยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมภูมิคุ้มกันคนเราอยู่ดีๆมันจึงได้เพี้ยน มีแต่เพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น เช่น จากพันธุกรรม จากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียบางชนิด หรือความเครียด สารพิษบางอย่าง อะไรอีกมากมายแต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด
คราวนี้มาพูดถึงโรคที่ผมเป็นดีกว่าที่บอกว่าแผลในปากเป็น lichen planus นั้นโรคนี้มันก็เป็นโรคภูมิเพี้ยนชนิดหนึ่งเหมือนกัน โรคนี้ไม่มีโรคภาษาไทย เอาเป็นว่าผมขอเรียกสั้นๆว่าโรค LP แล้วกันน่ะครับ โรค LP นี่เกิดจากภูมิคุ้นกันมาทำลายบริเวณเยื่อบุช่องปาก ทำให้เป็นแผล โรค LP นี้ก็สามารถเกิดที่ผิวหนังได้เช่นกัน จะเป็นลักษณะผื่นนูนๆ เป็นลายสีขาว และจะเจ็บแสบมาก โรค LP ที่ผมเป็นเป็นชนิดพิเศษเข้าไปอีกคือนอกจากเป็นผื่นนูนๆแล้วยังเป็นแผลแบบพุฟองอีก แล้วถามว่าโรค LP นี้เกิดจากอะไร คำตอบก็คือยังไม่รู้แน่ชัดมีแต่เพียงข้อสันนิษฐาน ว่าอาจจะเกิดจากการแพ้สารที่ใช้อุดฟัน ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบางชนิด รวมทั้งความเครียด พักผ่อนน้อย
ส่วนการรักษาโรคภูมิเพี้ยนนั้นต้องทำอย่างไร ก็ที่บอกไว้ว่าการแพทย์แผนปัจจุบันเรายังไม่รู้สาเหตุดังนั้นจึงไม่สามารถรักษาที่สาเหตุได้คือไม่มียาอะไรที่จะไปทำให้ภูมิที่มันเพี้ยนมันหายเพี้ยน ในปัจจุบันทำได้คือรักษาที่ปลายเหตุ ในเมื่อภูมิมันเพี้ยนก็ให้ยาไปหยุดการทำงานของภูมิคุ้มกันซะเลย พูดง่ายๆปัจจุบันการรักษาโรคภูมิเพี้ยนก็คือให้ยากดภูมิคุ้มกันไปกดการทำงานของภูมิคุมกันไม่ให้ทำงาน
ถ้าพูดถึงยาที่รักษาก็มียาสเตรียรอยด์ และยากกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะเลือกใช้ยาชนิดไหนก็แล้วแต่โรค
เราคงเคยได้ยินชื่อยาสเตรียรอยด์อยู่บ้าง เพราะคนชอบเอายาตัวนี้มาผสมในยาแผนโบราณบางชนิด จริงๆแล้วสารสเตรียรอยด์นั้นเป็น ฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาได้เองโดยมีหน้าที่ในการควบคุมสมดุลของร่างกาย แต่ถ้ามีสารมากเกินไปแล้วจะเกิดโทษคือทำให้ภูมิคุ้มกันโดนกด เนื่องจากสารสเตรียรอยด์มีผลลดการอักเสบอย่างดี เนื่องจากผลในการลดอักเสบและกดการทำงานของภูมิคุ้มกันนี่แหละ ทางการแพทยืจึงนำสารสเตรียรอยด์มาใช้ในการรักษาโรคภูมิเพี้ยน แต่การใช้ยาสเตรียรอยด์ไม่ได้แค่มีผลกดภูมิคุ้มกันเท่านั้นแต่มีผลข้างเคียงอย่างอื่นอีกมาก เช่นเมื่อมันกดภูมิคุ้มกันแล้วมันจะไม่ได้กดเฉพาะตัวที่ทำงานเพี้ยนแต่ยาจะไปกดภูมิคุ้มกันที่ทำงานตามปกติด้วย ดังนั้นคนที่ใช้ยาสเตรียรอยด์จึงมีโอกาสติดเชื้อง่าย นอกจากนั้นผลของยาสเตรียรอยด์จะทำให้ไขมันมาสะสมที่หน้าและหลังมีหน้าบวม ทำให้เกิดแผลในกระเพราะอาหาร กระดูกผุ น้ำตาลในเลือดสูง ความดันสูงด้วย จะเห็นว่าผลข้างเคียงของสเตรียรอยด์เยอะมากๆ
อธิบายเสียยืดยาว มาเข้าเรื่องของผมต่อดีกว่า หลังจากที่ผมรู้ตัวว่าเป็นโรค LP ผมก็รู้สึกโล่งบางเพราะในใจลึกๆกลัวจะเป็นโรคร้ายแรงพวกมะเร็ง แต่ก็ใจหายเหมือนกันเพราะต้องไปกินยาสเตรียรอยด์ ก็ผลข้างเคียงมันมากซะขนาดนั้น
ตอนแรกผมทำเป็นงอแงจะไม่ยอมกินยา เลยโดนอาจารย์ทันตแพทย์ขู่ว่าต้องรีบรักษาเพราะโรค LP นั้นมีโอกาสจะกลายไปเป็นมะเร็งได้ถึงแม้ว่าจะไม่มากก็ตามและผมก็เป็นในระดับที่ถือว่าเป็นมากด้วย จริงๆผมเป็นหมอก็รู้น่ะแต่มันยังทำใจไม่ค่อยได้ที่จะต้องกินยาสเตรียรอยด์ แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจกิน

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 4 อาการแรกที่มาเยือนอย่างเป็นทางการ

ช่วงปีที่สามของการเป็นแพทย์ประจำบ้าน บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเพราะอีก 1 ปีแพทย์ประจำบ้านทุกคนต้องสอบวุฒิบัตรเป็นแพทย์เฉพาะทางแล้วหรือที่เรียกกันว่าสอบบอร์ด ตัวผมเองก็ต้องจัดการเครียร์งานต่างๆ เช่นทำรายงานการตรวจศพ ทำวิจัย ต้องรีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาไปอ่านหนังสือ เรื่องเครียดไม่ต้องพูดถึง โครตเครียดเลย ลำพังแค่เนื้อหาวิชาที่ต้องอ่านที่เรียกว่ามากสุดๆแล้ว ยังเครียดกับการโดนอาจารย์ในภาควิชากดดันอีก เนื่องจากวาทำอะไรยังไม่ได้ดังใจอาจารย์ตลอด ช่วงนั้นผมเริ่มมีความรู้สึกว่าผมมีแผลในปาก แผลนูนขาวๆที่ลิ้นและริมผีปากด้านใน แต่ตอนนั้นที่รู้สึกแปลกคือมันแสบมากๆ ตัวผมในตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นเพราะเครียด มันคงเป็นแผลร้อนในธรรมดา แต่ผ่านไปเป็นสัปดาห์มันก็ไม่หาย และมีทีท่าว่าจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยไปซื้อยามาทาบริเวณแผล แต่มันก็ไม่หาย ก็ไม่รู้ทำอย่างไร แถมยังรู้สึกปวดฟันครุทอีก ทั้งแสบทั้งปวด ผมส่องดูในปาก แผลมันเป็นมากขึ้น กินอาหารเผ็ดไม่ได้เลย แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอะไรได้นอกจากแผลร้อนในจากความเครียด
ผ่านไปประมาณสามสัปดาห์แผลในปากก็ไม่หาย ปวดฟันก็ปวด เอ หรือว่าจะมีติดเชื้อพวกแบคทีเรียหรือเชื้อรา เพราะฟันครุทมันก็ผุ ผมไปหาซื้อยาปฎิชีวนะและยาทาฆ่าเชื้อรามาใช้ แต่ผ่านไปจบครบสัปดาห์มันก็ไม่ดีขึ้น แผลมันลามมากขึ้นไปที่กระพุ้งแก้มและใต้ลิ้นใหญ่มากบางตำแหน่งเหมือนเป็นแผลพุพอง แต่ดูลักษณะแล้วไม่ใช่มะเร็งแต่ก็ยังรู้ว่าเป็นอะไร
ในขณะนั้นผมคิดว่ามันน่าจะเกิดจากความเครียดจนทำให้ร่างกายแปรปรวน อีกอย่างช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ว่าแล้วเย็นวันต่อมาผมก็คว้ารองเท้าไปวิ่งออกกำลังกาย แล้วผมก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลเพิ่มมาอีกคือ
"ผมวิ่งไม่ได้" ทำไมถึงวิ่งไม่ได้ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี่ก็วิ่งได้ ไม่ได้เหนื่อยแต่ไม่อยากจะก้าวไปข้างหน้า ได้แค่เดินอย่างเดียว อาการมันอธิบายยาก ผมเลยไปนั่งพักแล้วก็ไป sit up แต่ผมก็ต้องแปลกใจซ้ำอีกเพราะว่าผม sit up ไม่ได้ เหมือนกล้ามเนื้อหน้าท้องผมไม่มีแรง ปกติถึงผมจะมีพุงขนาดไหนผมก็ sit up ได้ แต่ทำไมวันนี้วิ่งก็ไม่ได้ sit up ก็ไม่ได้ แปลกจัง เฮ้อ กลับดีกว่า
หลังจากที่การแพทย์แผนปัจจุบันช่วยไม่ได้ ผมก็ต้องใช้แพทย์แผนโบราณ ผมจำได้ว่าตอนเด็กผมชอบเป็นแผลร้อนในในปากถ้านานไม่หายแม่จะซื้อยาแผนโบราณที่เป็นยาขม มาชงให้กิน ไม่เกิน 2-3 วันหาย เห็นทีว่าผมต้องลองยาขมอีกที แต่คราวนี้กินจนหมดซอง ผ่านไปสิบวันยังไม่ดีขี้นแถมยังลามไปเรื่อยๆทั้งปาก ผมคงต้องไปปรึกษาอาจารย์หมอแล้วล่ะ เพราทำยังไงก็ไม่หายซะที
ผมตั้งใจว่าจะไปหาอาจารย์หมอเรื่องแผลในปากแต่บังเอิญว่าฟันที่มันผุปวดมากกว่าผมเลยไปหาหมอฟันก่อน
ผมไปพบทันตแพย์ที่คณะทันตแพทย์ มช. พอผมได้พบหมอ ปรากฎว่าเค้าเห็นแผลในปากแล้วตกใจมาก และบอกว่าคงทำฟันไม่ได้ต้องรักษาแผลในปากเสียก่อน ทันตแพทย์ท่านนั้นได้ส่งผมปรึกษากับอาจารย์ทันตแพทย์ที่เชียวชาญโรคในช่องปาก อาจารย์ทันตแพทย์หลังจากเห็นแผล ท่านก็มีท่าทางตกใจพอสมควร ผมได้แนะนำตัวให้ท่านรู้ว่าผมก็เป็นแพทย์เพื่อจะได้คุยตามภาษาแพทย์ อาจารย์ทันตแพทย์บอกผมว่าคงต้องตัดชิ้นเนื้อตรวจแล้วว่าเป็นอะไร จริงๆผมอยากให้หมอฟันถอนฟันให้เพราะปวดมาแต่หมอฟันยืนยันว่าถอนไม่ได้ต้องรักษาแผลในปากก่อน ผมเลยต้องยอมให้เค้าตัดชิ้นเนือที่ปากไปตรวจ แล้วนัดฟังผลอีก 1 สัปดาห์ เอาล่ะซิ ผมจะเป็นอะไร

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 3 ใจหายใจคว่ำ

หลังจากที่รู้ผลเลือดแล้ว ผมตกใจมาก คิดไปต่างๆนานา "นี่เราซีดขนาดนี่ เราอยู่ได้ไงฟระ"
เพื่อนผมที่เป็นหมออยู่ด้วยกัน ได้เปิดเปลือกตาผมดูแล้วบอกว่า "อภิชาติ นายซีดจริงๆ" ผมเริ่มใจเสีย
ผมเอาผลเลือดไปปรึกษาอาจารย์แพทย์ อาจารย์บอกว่าให้ผมลองตรวจใหม่ในวันพรุ่งนี้เพราะผลอาจจะผิดพลาด ถ้าผลยังผิดปกติแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
คืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับเพราะกังวลเรื่องผลเลือดที่มันผิดปกติ เช้าในวันต่อมาผมไปที่ห้องตรวจเลือดแต่เช้า พอไปถึงผมได้ไปเจอเจ้าหน้าที่ห้องแลปที่พอจะรู้จักกัน ได้เล่าเรื่อให้เค้าฟัง เจ้าหน้าห้องแลปเลยรีบพาผมไปเจาะเลือดใหม่
ระหว่างเจาะเลือด เจ้าหน้าที่ดูที่สีเลือดผมแล้วเปรยออกมา
"สงสัยจะซีดจริงๆค่ะหมอ เพราะปกติสีน่าจะแดงกว่านี่"
"ตาย -่า จะเป็นอะไรนี่ " ผมคิด
หลังจากเจาะเลือดเสณ้จเจ้าหน้าที่ห้องแลปให้ผมนั่งรอผลซักพัก เค้าจะตรวจให้เลย มันเป็นการรอที่ยาวนานมากๆ
"ผลก็ปกตินี่ค่ะ" สิ้นสุดการรอคอย เจ้าหน้าที่แลปเดินออกมาพร้อมกับบอกผมว่าผลปกติ แล้วถ้าอย่างนั้นเมื่อวานนี้ผลเลือดของผมผิดปกติได้อย่างไร
หลังจากที่ได้พยายามหาสาเหตุแล้วคิดว่าน่าจะมีการสลับผลเลือด ทางห้องแลปได้ขอโทษผมที่ทำให้ผมใจหายใจคว่ำ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ให้เค้านำปัญหานี่เข้าสู่กระบวนการบริหารความเสี่ยงและให้เค้ารีบติดตามว่าคนไข้ที่ผลสลับกับผมเป็นใครให้รีบนำมารักษาโดยด่วนเพราะคนนั้นคงป่วยหนักมาก
ผมกลับมาด้วยความโล่งอก พระผลเลือดของผมยังปกติไม่มีอะไร แต่อาการอ่อนเพลียนี่ล่ะมันเกิดจากอะไรกันแน่ มันอาจจะเกิดจากร่ายกายผมคงจะไม่แข้งแรง ผมเลยตั้งใจไว้ว่าตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไป ผมจะต้องออกกำลังกายทุกวันที่ไม่ได้ไปตรวจคนไข้ รวมทั้งลดกิจกรรมทำลายสุขภาพ และลดน้ำหนักเพราะตอนนั้นน้ำหนักผมพุ่งไปเกือบจะถึง 100 กิโลกรัมขณะที่ผมสูง 180 เซนติเมตร ถือว่าอ้วนมาก โดยหวังว่าร่างกายผมจะแข็งแรงขึ้นแล้วอาการอ่อนเพลียน่าจะหายไป

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 2 ชีวิตแห่งความประมาท

หลังจากใช้ทุนครบ 3 ปี ผมได้มาเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยที่ผมไฝ่ฝันอยากจะมาเรียนสมัยอยู่มัฐธยมแต่ entrance ไม่ติด แต่ก็ได้มีโอกาสมาเรียนจนได้ แต่กว่าจะได้มาเรียนเพื่อนๆที่เคยอยู่เชียงใหม่ก็เรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปหมดจนแทบจะหาเพื่อนเที่ยวไม่ได้เลย
ช่วงชีวิตที่เชียงใหม่ของผมมีทั้งหลายรสชาติ ช่วงเรียนเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่หนึ่งนั้นแทบจะมีแต่ความน่าเบื่อหน่าย แต่ผมไม่ได้เบื่อการเรียนเพียงแต่เบื่อชีวิตที่เงียบเหงา ก็มาเรียนผิดช่วงเวลาเลยแทบจะไม่มีเพื่อนเลย อีกอย่างการเรียนพยาธิวิทยามันไม่ต้องอยู่เวรนอกเวลา สรุปคือไปเช้ากลับเย็น วันหยุดราชการก็ว่าง ดังนั้นผมก็ได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในหอพัก แรกๆก็ขับรถไปเที่ยวห้างแต่หลังเริ่มเบื่อเพราะหาเพื่อกินเพื่อนเที่ยวไม่ได้ นานๆทีผมจึงได้มีโอกาสออกไปกินข้างนอกเมื่อมีเพื่อนมาเที่ยวหา อาจจะเป็นเพราะว่านานๆทีจึงจะได้กินดังนั้นเวลาทีผมได้เมาทีไร มักจะเมามาก เมาถึงขนาดว่าเมาไม่รู้สึกตัว ตื่นมาตอนเช้านี่ลืมไปเลยว่าเมากลับมาที่ห้องได้อย่างไร ถ้าเราเมาขนาดที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วจำไม่ได้ว่าทำอะไรก็แสดงว่าเมามาก ผมมานั่งนึกตอนนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองนั้นรอดมาได้อย่างไรเพราะเมามากขนาดนั้นแล้วขับรถกลับมาที่ห้องได้โดยไม่มีอุบัติเหตุหรือโดนตำรวจจับนี่ถือว่าบุญมากเลย
ชีวิตผมมันวนๆเวียนๆอยู่กับสิ่งนี่ อาการแปลกๆที่มันเริ่มเตือนผมมันก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ ผมจะรู้สึกว่าบางวันผมจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย เพลีย จนขนาดว่าเลิกจากงานตอนเย็นต้องนอนหลับตลอดจึงจะดีขึ้น บางวันจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมีไข้ต้องกินยาparacetamol แล้วนอน ช่วงหลังๆนี้ผมหารายได้พิเศษรับตรวจคนไข้ตามคลีนิกตอนเย็นๆ วันไหนที่ต้องออกไปคลีนิกผมจะรู้สึกว่าตอนใช้พลังงานอย่างมากในการต่อสู้กับความง่วง ความปวดเมื่อย
อาการเหล่านี้มันเป็นๆหายๆไม่ได้เป็นทุกวัน ถ้าไปถามแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีใครบอกได้หรอกครับว่าเป็นอะไร มันเป็นลักษณะที่เรียกว่าอ่อนเพลียเรื้อรัง ตอนนั้นผมคิดว่าอาการที่ว่าน่าจะเกิดจากการที่ผมไม่ได้ออกกำลังกาย แต่กว่าผมจะเอาชนะตัวเองเอาตัวเองมาออกกำลังกายได้ก็ตอนผมเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 แรกๆผมไปวิ่งออกกำลังกาย ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าการออกกำลังกายมันสดชื่นมาก ทำให้คิดว่าทำไมเราไม่ออกกำลังกายมาตั้งแต่แรก ช่วงหลังผมเริ่มเจ็บเข่าเนื่องจากน้ำหนักตัวมากเลยเปลี่ยนมาใช่วิธีการปั่นจักรยานแทน ส่วนเรื่องการออกไปดื่มกินนั้นตั้งใจไว้ว่าจะลดลงจากเดิม
ถึงแม้ว่าผมจะพยายามออกกำลังกายทุกเย็นที่ว่างแต่อาการอ่อนเพลียเรื้อรังมันก็ไม่ได้หายไป บางทีมีความรู้สึกว่ามันจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ มันยังมาเป็นช่วงๆทำให้บางวันผมต้องต่อสู้กับอาการนี้ในการที่จะเอาชนะเพื่อไปออกกำลังกาย
ในเมื่อผมออกกำลังกายแล้วอาการอ่อนเพลียยังไม่หาย ผมเลยคิดว่าอย่างลองตรวจร่ายกายทั่วไปดูก่อนเผื่อจะเจอสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ผมเลยเจาะเลือดตรวจ lab ทั่วๆไปแต่ผลเลือดที่ออกมาทำให้ผมตกใจ เพราะผลการตรวจเม็ดเลือดของผมผิดปกติมาก ความเข้มข้นเลือดของผมบ่งบอกว่าผมซีดมาก (Hct 9%) และผมกำลังมีภาวะติดเชื้้ออย่างรุนแรง (WBC มากกว่า 10000 และ neutrophil มากกว่า 90%) ผมตกใจมาก ผมจะเป็นอะไรนี่!!


วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 1 สัญญาณเตือน


ผมจบแพทย์เมื่อปี 2545 จากมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นรุ่นที่สองของคณะแพทย์ในคณะนั้น หลังจากจบมาได้ไปเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะที่โรงพยาบาลน่านเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นไปทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลบ่อเกลือจังหวัดน่าน และโรงพยาบาลน้ำหนาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ล่ะ 1 ปีตามลำดับ
สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์นั้น ผมถือว่าเป็นนักดื่มประจำรุ่นก็ว่าได้ โดยเฉพาะวันไหนที่สอบเสร็จหรือไม่ได้อยู่เวรผมจะต้องชักชวนเพื่อนออกไปนั่งจิบเบียร์ ฟังเพลง เรียกว่าใช้ชีวิตประมาทสุดๆ หลังจากจบมาเป็นแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลน่าน ผมเหมือนได้อิสระภาพจากการเรียนหนัก วันไหนที่ผมไม่ได้อยู่เวรผมก็จะออกไปเที่ยวกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลตลอด กลับมาก็ตี่ 4 ตี 5 ตอนเช้าก็ไปทำงาน ทำร้ายร่างกายแบบนี้ตลอด
หลังจากนั้นอีก 1 ปีที่ผมย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลบ่อเกลือจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ไกลและกันดารที่สุดในจังหวัดน่านก็ว่าได้ ตอนนั้นที่โรงพยาบาลแทบจะเรียกว่าเป็นยุดของคนขี้เมาก็ว่าได้ ผมไปเจอพรรคพวกที่เข้าขากันในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าทั้งเมาทั้งเที่ยวแทบจะทุกวันที่ไม่ได้อยู่เวร ยิ่งกว่านั้นคือการที่อยู่บนภูเขาห่างไกล จะหาซื้อเหล้าเบียร์มันก็ยาก ก็ดื่มเหล้าเถื่อนกันนี่เลย ถูกประหยัด เมาได้เหมือนกัน
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม่ถึงได้กินแต่เหล้า แล้วการงานจะเป็นอย่างไร ผมเป็นถึงหมอความรับผิดชอบมันก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วถึงแม้ว่าผมจะกินเหล้าบ่อยแต่ผมก็ไม่เคยกินในเวลาหรือว่าเวลาอยู่เวร ตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่าการกินเหล้ามันสนุก มีเพื่อนเยอะ นอกจากนั้นทำให้เราเข้ากับชาวบ้านได้ ซื่งจำเป็นเหมือนกันสำหรับชีวิตหมอชนบทที่ต้องไปเข้าหาชาวบ้านทำงานเชิงรุก
เวลาผ่านไปเหมือนโกหก อีก 1 ปีต่อมาผมได้โยกย้ายลงมาใกล้บ้าน มาอยู่ที่โรงพยาบาลน้ำหนาวเพชรบูรณ์ ผมก็ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม แต่ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะลดกิจกรรมแบบนี้ลง แต่ก็ยังไม่ได้เลิกเพราะมันเหมือนกับความรู้สึกที่ติดอยู่ในหัวว่าถ้าไม่มีเหล้า มันก็ไม่มัน ดังนั้นเวลาที่ไปเที่ยวหรือมีโอกาสสำคัญผมก็ต้องกินเหล้าตลอด
จนถึงเวลาช่วงใช้ทุนจะครบ 3 ปีตามสัญญาที่ให้กับรัฐบาล ถึงตอนนั้นผมต้องตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อในหนทางของการเป็นหมอ จะไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือทำงานเป็นแพทย์ในชนบทต่อ หรือลาออกไปอยู่เอกชนใช้ชีวิตในเมือง ถึงเวลานั้นผมสับสนมาก เพราะไม่เคยคิดวางแผนมาก่อนเลย ทำให้รู้สึกเครียดมาก ผมคิดว่าผมคงเต็มอิ่มกับการเป็นแพทย์ทั่วไปแล้วและผมก็ตัดสินใจแบบเปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือ ตัดสินใจไปเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพยาธิวิทยากายวิภาค
ต้องขอเล่าก่อนว่าแพทย์ทางพยาธิวิทยากายวิภาคนี้คืออะไร แน่นอน ผมคิดว่าคงไม่มีใครรู้ใช่ไหม แพทย์ทางด้านนี้มีชื่อเรียกทางภาษาไทยเท่ๆว่า พยาธิแพทย์(อ่านว่า พะ-ยา-ทิ-แพทย์ ไม่ใช่ พะ-ยาด-แพทย์ น่ะครับ) หรือภาษาอังกฤษว่า pathologist วงการแพทย์เค้าชอบเรียกสั้นๆว่าหมอพาโถ หมอสาขานี้จะทำมีหน้าที่ให้การวินิจฉัยผลจากชิ้นเนื้อที่แพทย์ผู้รักษาคนไข้ส่งมาแล้วรายงานผลให้แพทย์ผู้รักษาอีกที ยกตัวอย่างง่ายๆคือ ถ้ามีคนไข้มีก้อนที่เต้านมมา ศัลยแพทย์จะผ่าเอาก้อนที่เต้านมนั้นออก แล้วส่งให้พยาธิแพทย์ตรวจ ขั้นตอนการตรวจคือดูด้วยตาเปล่าและดูลักษณะของเซลล์จากกล้องจุลทรรศน์แล้วรายงานผลออกไปให้กับศัลยแพทย์ว่าก้อนนั้นเป็นอะไร เช่นเป็นมะเร็งหรือไม่ แล้วศัลยแพทย์ก็จะทำการรักษาคนไข้ต่อ จะเห็นว่าหมอสาขานี้ทำงานอยู่เบื้องหลังจริงๆ เปรียบดังผู้ปิดทองหลังพระ
มาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่ผมตัดสินใจเรียนทางด้านพยาธิวิทยาแล้ว คำถามที่ผมจะได้ยินเกือบเป็นร้อยๆคำถามคือ "คิดยังไงมาเรียนพาโถ" เหตุที่มีคนถามเพราะเป็นสาขาที่หาคนเรียนแทบจะไม่ได้หมอๆส่วนใหญ่จะมองว่าสาขานี้เรียนยาก งานน่าเบื่อ และรายได้น้อย ซึ่งในเรื่องรายได้นั้นแทบจะเทียบไม่ได้กับบางสาขา ผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม รู้แต่ว่าน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูก แต่เหตุที่ผมบอกได้ตอนนั้นคือ
1. ผมไม่ชอบการอยู่เวรในเวลากลางคืนมาตั้งแต่ในแต่ไรแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมมักจะไม่ชอบการที่ต้องอยู่เวรทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเรียนทางด้านในสาขาที่ต้องอยู่เวรกลางคืน
2. ผมเบื่อการทำงานร่วมกับแพทย์ ไม่ได้หมายถึงแพทย์ทุกคนน่ะครับ บางคนเท่านั้น เนื่องจากคนที่เรียนแพทย์มักจะเป็นคนที่เก่ง มีความมั่นใจสูง เถียงไม่ได้แล้วก็ชอบข่ม ดุ ว่า แพทย์รุ่นน้องแบบไม่มีเหตุผล ผมเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับแพทย์รุ่นพี่ที่นิสัยแบบนี้สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 (extern) จนผมเคยคิดว่าจะไม่กลับไปอยู่แบบนั้นอีกแล้ว เพราะไม่มีความสุขในการทำงานมากๆ ซึ่งถ้าผมไปเรียนผมต้องไปเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 1 ผมต้องไปฟังคำสั่งของพวกแพทย์รุ่นพี่ ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าเจออย่างที่ผมบอกไว้ผมคิดว่าผมคงอยู่ไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจมาเรียนทางพยาธิวิทยาเพราะตอนนั้นคิดว่าคงไม่เจอแบบนี้ (มารู้ตอนหลังว่าคิดผิด)
3.เหตุผลข้อนี้นั้นตอนแรกผมไม่ได้คิดถึงหรอก แต่ตอนหลังที่ผมป่วยผมมาคิดแล้วก็รู้ว่านี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง เรื่องของเรื่องคือว่าตอนที่ผมเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลน้ำหนาวนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแรง จะรู้สึกว่าตัวเอง จะเพลียๆปวดเมื่อยตามตัวง่าย โดยเฉพาะตอนเลิกงาน มันเพลียจนต้องกลับมานอนที่บ้านพักทุกวัน บางครั้งจะเป็นมากเหมือนว่าตัวจะมีไข้แต่วัดไข้ก็จะไม่มีไข้ สุดท้ายต้องกินยาพาราเซตตามอล ขับรถไกลไม่ได้จะเพลียมากๆ หรือนั่งนานๆไม่ได้ต้องอยากจะนอนตลอด ผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบันผมยังไม่รู้เลยว่าอาการที่ตัวเองเป็นคืออะไร ผมลองตรวจเลือดดูว่าผิดปกติไหมก็ปกติหมด ตอนนั้นก็คิดว่าอาจจะเกิดจากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปออกกำลังกายซะทีเพราะเวลาเลิกงานมันอยากจะนอนมากกว่า อาการแบบนี้มันเป็นไม่มากและเป็นๆหายๆ ทำให้ผมไม่อยากตื่นตอนกลางคืน ถ้าวันไหนโดนตามมาดูคนไข้หลังเที่ยงคืนจะรู้สึกว่าตื่นมาจะไม่สดชื่น มึนๆ อาการแบบนี้ทำให้ผมไม่อยากไปเรียนสาขาที่ต้องอยู่เวร และอีกอย่างผมไม่รู้เลยว่าอาการที่ผมเล่ามามันคือสัญญาณเตือนบางอย่างที่ผมจะได้เจอในอนาคต

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกริ่นนำ

พระท่านเคยสอนไว้ว่า ไม่ควรใช้ชีวิตอยู่ในความประมาท เป็นความจริงทีเดียวแต่แปลกที่คนเรานั้นมักจะไม่ตระหนักในคำสอนนี้ แม้แต่ตัวผมเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นหมอได้เห็นความเจ็บป่วย เห็นคนตายมามากต่อมาก แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบประมาทมาตลอด ทั้งการอดหลับอดนอนจากการอยู่เวร รวมทั้งการเที่ยวกลางคืน ดื่มหนัก คิดแต่ว่าถ้ามันจะป่วยจริงก็คงอายุ 60-70 ปี ซึ่งมันก็ตามแต่วัย แต่หาไม่เลยพอผมอายุเข้าเลข 3 วัยที่กำลังทำงานสร้างฐานะ ในช่วงที่ผมกำลังจะเป็นแพทย์เฉพาะทาง ผมก็เป็นโรคร้ายที่ ไม่รู้ว่าจะหายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมแทบจะตั้งตัวไม่้ทัน ทุกอย่างในชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลง ทั้งการดำเนินชีวิต การงาน รวมทั้งต้องเลิกเที่ยวเลิกดื่มกินไปโดยบริยาย ถึงแม้ว่าความเจ็บป่วยที่ผมเป็นนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการที่ผมเที่ยว ดื่มกิน ก็ตาม แต่ถ้าตอนนั้นผมรักษาสุขภาพมากกว่านี้ร่างคงแข็งแรงกว่านี้
ผมเขียน blog นี้ขึ้นมาเพื่ออยากจะบันทึกถึงชีวิตของผมที่เป็นถึงหมอ หมอที่มีหน้าที่รักษาคนไข้ แต่สุดท้ายก็ป่วยต้องมาเป็นคนไข้เสียเอง ผมจะหาเวลามาเขียนบ่อยๆตามแต่เวลาและโอกาสจะเอื้ออำนวยครับ อาจจะช้าเร็วบ้างก็ถ้าใครมาอ่านก็ลองติดตามดู แล้วอย่าลืมฝากคอมเมนต์ไว้ด้วยน่ะครับ / หมอพยาธิคนหนึ่ง