วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 6 เรื่องยังไม่จบง่ายๆ

หลังจากที่ผมกินยาที่ได้มาจากอาจารย์ทันตแพทย์แค่เพียง 2 สัปดาห์เท่านั้น แผลในปากของผมก็หายไปเกือบหมด เหลืออยู่ประมาณแค่ซัก 20-30% ของแผลที่เป็นตอนแรกๆ ซึ่งถือว่าได้ผลเกินคาด ผมได้ไปพบกับอาจารย์ทันตแพทย์ อาจารย์ก็บอกว่าการรักษาเป็นผลที่น่าพอใจ ตอนนั้นผมอยากจะขอหยุดยาและขอให้อาจารย์ทันตแพทย์ถอนฟันที่ผุให้ แต่ผมก็ได้รับการปฎิเสธเพราะอาจารย์ทันตแพทย์เห็นว่าแผลในปากยังหายไม่หมดและผมยังต้องกินยาต่อไปเพื่อให้แผลหายดีกว่านี้จนหายหมดปาก จริงๆแล้วผมก็รู้ แต่ผมไม่อยากจะกินยาสเตียรอยด์นานๆ
ปกติแล้วคนเรานั้นถ้ากินยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์นานเกินกว่า 2 สัปดาห์ ร่างกายของเราจะรับรู้ว่าได้รับสารสเตียรอยด์พอแล้ว ต่อมหมวกไตที่ปกติมีหน้าที่ในการสร้างฮอล์โมนสเตียรอยด์จะหยุดสร้างและจะเหี่ยวตัวจนมีขนาดเล็ก ดังนั้นหมายความว่าถ้าเข้าถึงระยะนี้แล้วเราจะหยุดกินยาไม่ได้เลยถ้าเราหยุดยาโดยกระทันหันแล้ว ต่อมหมวกไตที่เหี่ยวและหยุดทำงานชั่วคราวนี้จะไม่สามารถสร้างฮอล์โมนสเตียรอยด์ได้เพราะต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทำให้ร่างกายเราขาดสเตียรอดย์ทันทีและถ้าเราเกิดเจ็บป่วยหรือไม่สบายจากภาวะอะไรก็ตาม เราก็จะช็อคได้เพราะเราขาดฮอล์โมนสเตียรอยด์ เท่าที่พูดมานั้นก็หมายถึงตัวผมในขณะนี้ซึ่งผมต้องกินยาไปเรื่อยๆแล้วถ้าจะหยุดยาต้องค่อยๆลดยาลงไปทีละน้อยทีล่ะน้อย เพื่อให้ต่อมหมวกไตที่เหี่ยวนั้นค่อยๆฟื้นตัว
ผ่านไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผมได้รับยาสเตียรอยด์ขนาดสูง แผลที่มันเหลืออยู่ไม่มาก ที่ตอนแรกคิดว่าน่าจะหายไปแล้วแต่กลับไม่หายตามที่คิดไว้ แต่ผมกลับสังเกตว่าผมเริ่มน้ำหนักขึ้น เกือบเป็นหลักร้อย หน้าบวม ท้องลาย นั่นแสดงว่าผมโดนพิษของยาสเตียรอดย์เข้าซะแล้ว ผมต้องระวังตัวในการทำงานมากขึ้นเพราะผมมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำชั่วคราวเพื่อไม่ให้ติดเชื้อ
ผมกลับไปตรวจอีกครั้งหนึ่งกับอาจารย์ทันตแพทย์ อาจารย์ถึงกับส่ายหน้าเพราะแผลในปากที่เหลือกลับไม่หายไปตามที่คาดไว้ ผมจำเป็นต้องเพิ่มการรักษาใหม่คือการฉีดยาเข้าไปที่แผลโดยตรง ยาก็ไม่พ้นยาสเตียรอยด์ แต่ทำมาในรูปแบบฉีด เอายามาผสมกับยาชาแล้วฉีดเข้าไปที่บริเวณใต้แผล
แต่ผลการรักษากลับไม่ได้ดีดังคาดมากนัก แผลที่เหลือนั้นมันแสนดื้อด้านไม่ได้ดีขึ็นซักเท่าไหร่ ทำให้ที่ผมคิดว่าอาการเจ็บป่วยนี้มันจะจบง่ายกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ช่วงนั้นเองผมเริ่มรู้สึกว่ามีความผิดปกติอื่นๆเกิดขึ้นกับร่างกายของผม
ตอนเช้าตื่นขึ้นมาผมรู้สึกว่าผมมีความลำบากในการแปรงฟันป้วนน้ำมาก เป็นอาการที่อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าผมไม่สามารถที่จะป้วนเอาฟองยาสีฟันทิ้งไม่สะดวกเหมือนปกติ ต้องป้อนหลายครั้ง เหมือนลิ้นหรือกระพุ้งแก้มไม่ยอมทำงาน ทำให้ผมแปลกใจแต่ก็ไม่ได้สนใจ พอมากินข้าวก็รู้สึกว่าเวลาเคี้ยวข้าวจะเคี้ยวยาก เคี้ยวนานกว่าปกติ แต่ทำไมก็ไม่รู้ แต่เหมือนจะมีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่มี ผมคิดว่าถ้ามีคนไข้มาหาผมด้วยเรื่องเคี้ยวข้าวนานกว่าจะกลืนได้ ผมคงมืดแปดด้านไม่รู้คนไข้เป็นอะไรเป็นแน่ แต่อาการที่ว่ามันเป็นไม่่นาน ซักพักมันก็หายไป พอมาถึงมื้อกลางวันก็ไม่เป็น จนผมก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก อีกอาการที่แทบจะมาพร้อมกันคือปวดบริเวณต้นคอด้านหลังมาก ปวดจนต้องเอามือลองคางไว้เวลานั่งดูกล้องจุลทรรคน์ เหมือนคอมันไม่มีแรง ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากคิดว่าคงเป็นเพราะเรานั่งดูกล้องจุลทรรศน์มาก อาการทุกอย่างนั้น ช่วงแรกๆมันมาพอเป็นช่วงๆให้ผมแปลกใจแต่หลังๆเป็นมากขึ้นเป็นหลายวันแล้วหายไป แต่มีอาการใหม่เพิ่มมาเรื่อยๆจนอาการที่ผมตั้องไปตรวจคือ ผมจะรู้สึกว่าผมจะพูดไม่ชัด พูดเหมือนคนเป็นหวัดบวกคนลิ้นไก่สั้น โดยเฉพาะคำที่เป็นพยัญชนะ ดอเด็ก จะออกเสียงเป็น นอหนู เช่น เด็กดี ก็จะพูดเป็น เน็กนี อาการนี้จะมาไม่เป็นเวลา เป็นๆหายๆ แต่แน่ๆตอนนั้นไม่เป็นหวัด ผมเลยจะไปหาเพื่อนที่เป็นหมอหูคอจมูก แต่ปรากฎว่าตอนเจอเพื่อนอาการพูดไม่ชัดก็หายไป สุดท้ายก็ไม่ได้ตรวจ ตอนนั้นผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าอาการพูดไม่ชัดนี้เกิดจากอะไร ทั้งๆที่ผมเป็นหมอ ได้แต่สัญนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการที่เรามีแผลในปากทำให้พูดไม่ชัดก็เป็นไปได้ รวมทั้งผมมีฟันผุที่ยังปวดมากๆอยู่ทำการขยับลิ้นมีปัญหาหรือเปล่า
ผมกลับไปตรวจกับทันตแพทย์ตามนัด ปรากฎว่าอาจารย์ทันตแพทย์ส่ายหน้าบอกว่าแผลในปากผมไม่หายไปและมีแนวโน้มว่าจะกลับขึ้นมาอีก
"ผมคิดว่าจะส่งหมอไปปรึกษากับอาจารย์ที่คณะแพทย์ เพราะแผลในปากหมอไม่ดีขึ้นเลย กลัวหมอจะมีโรคอื่นซ่อนอยู่ เพราะเท่าที่ผมเคยรักษามาส่วนใหญ่ก็จะหายแล้ว" อาจารย์ทันตแพทย์กล่าว
ผมใจไม่ดีล่ะ "ถ้างั้น วันนี้ผมขอถอนฟันได้ไหมครับ เพราะมันปวดมานานไม่หาย" ผมเริ่มต่อรอง
"แผลในปากหมอมันยังไม่หาย เราไม่กล้าถอนหรอกครับ เพราะฟันซี่ที่ผุมันเป็นฟันครุฑด้วย อาจจะต้องไปงัดไปง้างมาก แผลมันจะไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าวันนี้จะขูดหินปูนให้ก่อน ถ้าหมอไปรักษาแผลในปากจนหายแล้วก็กลับมาถอนฟันน่ะครับ"
ผมเศร้าเลย แต่ก็เอาล่ะขูดหินปูนซะหน่อยก็ยังดี แต่ในระหว่างที่ขูดหินปูนนั้นผมต้องขอเบรกจนได้เพราะผมรู้สึกว่าน้ำมันไหลกลับเข้าไปในโพรงจมูกมากจนผมสำลักสุดท้ายก็ไม่ได้ขูด ซึ่งแปลกมาผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
ผมจะเป็นอะไรน่ะนี่ หรือว่าผมจะมีโรคอะไรที่มากกว่านี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น