วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 7 มนุษย์สเตรียรอยด์

ผมต้องกลับมากปรึกษากับอาจารย์แพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง อาจารย์ได้แนะนำให้ผมใช้ยาทาชนิดที่ทำมาจากยากดภูมิคุ้มกัน เป็นยาที่ทำมาทาผิวหนังแต่ก็พอจะทาในปากได้บ้าง

"โรคนี้ยารักษามันไม่ค่อยมี ลองเอาแบบนี้ทาไปก่อน" หลังจากที่ผมได้เอายาทาผิวหนังมาทาปากทำให้ผมรู้เลยว่ารสชาดแล้วร้ายเป็นอย่างไร ทั้งรสทั้งกลิ่นมันไม่น่าพิศมัยเลย

ด้วยความที่ผมทนรสและกลิ่นของยาทาผิวหนังไม่ได้ ผมจึงได้ไปอ่านตำราเกี่ยวกับการรักษา lichen planus อย่างจริงจังทำให้ผมคิดว่าจะต้องกลับไปใช้ยาสเตียรอดย์เหมือนเดิม แต่อาจจะลองกินแบบสูตรใหม่ตามตำรา เพราะทนยาทาไม่ไหว อีกอย่างแผลมันก็เริ่มเป็นมากขึ้นอีก ผมได้คุยกับอาจารย์แพทย์ทางผิวหนัง อาจารย์ก็เห็นด้วย โดยการที่ผมต้องเริ่มใช้ยาสเตรียรอยด์ในขนาดสูง (สูงกว่าครั้งแรก) แล้วคงไว้นานหน่อยจนอาการมันหายไปจึงค่อยลดยา

ในระหว่างนั้นเองผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการประหลาดที่เคยเล่าให้ฟังมันกลับมาวนเวียน แต่มีอากรใหม่กว่านั้นคือผมรู้สึกว่าตาจะอักเสบ แรกๆนั้นผมไม่ได้สนใจมากเพราะตาอักเสบจากการแพ้ลมแพ้ฝุ่น มันเป็นโรคประจำตัวของผมมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เริ่มรู้สึกว่าจะมีเห็นภาพซ้อนด้วยแฮะ เป็นพักๆแล้วหายไป ผมก็ไม่ได้แอะใจอะไรไป

วันหนึ่งไม่นานนัก ขณะที่ผมทำงานอยู่ในภาควิชา อาจารย์แพทย์ทางพยาธิวิทยาท่านหนึ่งก็ทักผม

"อภิชาติ เธอเป็น Alopecia areata ตรงขมับข้างขวา"

" จริงหรอกครับ" ผมรีบเอามือคลำ ก็พบว่าเป็นจริงๆ

"จะเป็นอะไรอีกล่ะนี่ "

ขออธิบายก่อนน่ะครับ คำว่า alopecia ส่วน alopecia areata เป็นลักษณะผมร่วงชนิดหนึ่งคือร่วงเป็นหย่อมๆ ส่วนใหญ่เป็นกลมๆเท่าเหรียญ สาเหตุก็ส่วนมากก็ภูมิเพี้ยนนี่แหละ ที่มาทำลายรากผมจนมันหลุดร่วง ส่วนสาเหตุที่ทำไมจึงเกิดภูมิเพี้ยนก็ไม่รู้ แต่มักจะเจอสัมพันธ์กับโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ ความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อมๆได้

เอาล่ะซิ ผมเริ่มเซ็งเหมือนมันจะเป็นอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบแปลกๆ จนผมต้องจนปัญญา

" อย่าไปคิดมาก ไปหายามาทาซิ" อาจารย์โรคผิวหนังบอกหลังจากที่ผมไปพบ

"เธออาจจะเครียดเรื่องสอบก็ได้ ผมเลยร่วง"

ว่าแล้วอาจารย์ก็สั่งยาทาให้ผมเป็นยาสเรียรอดย์ชนิดทา

"เอาไปทาซะ"

นี่เรากำลังจะกลายไปเป็นมนุษย์สเตีรยรอยด์แล้วหรือ ผมคิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น