วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 4 อาการแรกที่มาเยือนอย่างเป็นทางการ

ช่วงปีที่สามของการเป็นแพทย์ประจำบ้าน บรรยากาศเริ่มตึงเครียดมากขึ้นเพราะอีก 1 ปีแพทย์ประจำบ้านทุกคนต้องสอบวุฒิบัตรเป็นแพทย์เฉพาะทางแล้วหรือที่เรียกกันว่าสอบบอร์ด ตัวผมเองก็ต้องจัดการเครียร์งานต่างๆ เช่นทำรายงานการตรวจศพ ทำวิจัย ต้องรีบทำให้เสร็จจะได้มีเวลาไปอ่านหนังสือ เรื่องเครียดไม่ต้องพูดถึง โครตเครียดเลย ลำพังแค่เนื้อหาวิชาที่ต้องอ่านที่เรียกว่ามากสุดๆแล้ว ยังเครียดกับการโดนอาจารย์ในภาควิชากดดันอีก เนื่องจากวาทำอะไรยังไม่ได้ดังใจอาจารย์ตลอด ช่วงนั้นผมเริ่มมีความรู้สึกว่าผมมีแผลในปาก แผลนูนขาวๆที่ลิ้นและริมผีปากด้านใน แต่ตอนนั้นที่รู้สึกแปลกคือมันแสบมากๆ ตัวผมในตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าคงเป็นเพราะเครียด มันคงเป็นแผลร้อนในธรรมดา แต่ผ่านไปเป็นสัปดาห์มันก็ไม่หาย และมีทีท่าว่าจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมเลยไปซื้อยามาทาบริเวณแผล แต่มันก็ไม่หาย ก็ไม่รู้ทำอย่างไร แถมยังรู้สึกปวดฟันครุทอีก ทั้งแสบทั้งปวด ผมส่องดูในปาก แผลมันเป็นมากขึ้น กินอาหารเผ็ดไม่ได้เลย แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอะไรได้นอกจากแผลร้อนในจากความเครียด
ผ่านไปประมาณสามสัปดาห์แผลในปากก็ไม่หาย ปวดฟันก็ปวด เอ หรือว่าจะมีติดเชื้อพวกแบคทีเรียหรือเชื้อรา เพราะฟันครุทมันก็ผุ ผมไปหาซื้อยาปฎิชีวนะและยาทาฆ่าเชื้อรามาใช้ แต่ผ่านไปจบครบสัปดาห์มันก็ไม่ดีขึ้น แผลมันลามมากขึ้นไปที่กระพุ้งแก้มและใต้ลิ้นใหญ่มากบางตำแหน่งเหมือนเป็นแผลพุพอง แต่ดูลักษณะแล้วไม่ใช่มะเร็งแต่ก็ยังรู้ว่าเป็นอะไร
ในขณะนั้นผมคิดว่ามันน่าจะเกิดจากความเครียดจนทำให้ร่างกายแปรปรวน อีกอย่างช่วงนี้ก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ว่าแล้วเย็นวันต่อมาผมก็คว้ารองเท้าไปวิ่งออกกำลังกาย แล้วผมก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลเพิ่มมาอีกคือ
"ผมวิ่งไม่ได้" ทำไมถึงวิ่งไม่ได้ก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี่ก็วิ่งได้ ไม่ได้เหนื่อยแต่ไม่อยากจะก้าวไปข้างหน้า ได้แค่เดินอย่างเดียว อาการมันอธิบายยาก ผมเลยไปนั่งพักแล้วก็ไป sit up แต่ผมก็ต้องแปลกใจซ้ำอีกเพราะว่าผม sit up ไม่ได้ เหมือนกล้ามเนื้อหน้าท้องผมไม่มีแรง ปกติถึงผมจะมีพุงขนาดไหนผมก็ sit up ได้ แต่ทำไมวันนี้วิ่งก็ไม่ได้ sit up ก็ไม่ได้ แปลกจัง เฮ้อ กลับดีกว่า
หลังจากที่การแพทย์แผนปัจจุบันช่วยไม่ได้ ผมก็ต้องใช้แพทย์แผนโบราณ ผมจำได้ว่าตอนเด็กผมชอบเป็นแผลร้อนในในปากถ้านานไม่หายแม่จะซื้อยาแผนโบราณที่เป็นยาขม มาชงให้กิน ไม่เกิน 2-3 วันหาย เห็นทีว่าผมต้องลองยาขมอีกที แต่คราวนี้กินจนหมดซอง ผ่านไปสิบวันยังไม่ดีขี้นแถมยังลามไปเรื่อยๆทั้งปาก ผมคงต้องไปปรึกษาอาจารย์หมอแล้วล่ะ เพราทำยังไงก็ไม่หายซะที
ผมตั้งใจว่าจะไปหาอาจารย์หมอเรื่องแผลในปากแต่บังเอิญว่าฟันที่มันผุปวดมากกว่าผมเลยไปหาหมอฟันก่อน
ผมไปพบทันตแพย์ที่คณะทันตแพทย์ มช. พอผมได้พบหมอ ปรากฎว่าเค้าเห็นแผลในปากแล้วตกใจมาก และบอกว่าคงทำฟันไม่ได้ต้องรักษาแผลในปากเสียก่อน ทันตแพทย์ท่านนั้นได้ส่งผมปรึกษากับอาจารย์ทันตแพทย์ที่เชียวชาญโรคในช่องปาก อาจารย์ทันตแพทย์หลังจากเห็นแผล ท่านก็มีท่าทางตกใจพอสมควร ผมได้แนะนำตัวให้ท่านรู้ว่าผมก็เป็นแพทย์เพื่อจะได้คุยตามภาษาแพทย์ อาจารย์ทันตแพทย์บอกผมว่าคงต้องตัดชิ้นเนื้อตรวจแล้วว่าเป็นอะไร จริงๆผมอยากให้หมอฟันถอนฟันให้เพราะปวดมาแต่หมอฟันยืนยันว่าถอนไม่ได้ต้องรักษาแผลในปากก่อน ผมเลยต้องยอมให้เค้าตัดชิ้นเนือที่ปากไปตรวจ แล้วนัดฟังผลอีก 1 สัปดาห์ เอาล่ะซิ ผมจะเป็นอะไร

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 3 ใจหายใจคว่ำ

หลังจากที่รู้ผลเลือดแล้ว ผมตกใจมาก คิดไปต่างๆนานา "นี่เราซีดขนาดนี่ เราอยู่ได้ไงฟระ"
เพื่อนผมที่เป็นหมออยู่ด้วยกัน ได้เปิดเปลือกตาผมดูแล้วบอกว่า "อภิชาติ นายซีดจริงๆ" ผมเริ่มใจเสีย
ผมเอาผลเลือดไปปรึกษาอาจารย์แพทย์ อาจารย์บอกว่าให้ผมลองตรวจใหม่ในวันพรุ่งนี้เพราะผลอาจจะผิดพลาด ถ้าผลยังผิดปกติแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที
คืนนั้นผมนอนแทบไม่หลับเพราะกังวลเรื่องผลเลือดที่มันผิดปกติ เช้าในวันต่อมาผมไปที่ห้องตรวจเลือดแต่เช้า พอไปถึงผมได้ไปเจอเจ้าหน้าที่ห้องแลปที่พอจะรู้จักกัน ได้เล่าเรื่อให้เค้าฟัง เจ้าหน้าห้องแลปเลยรีบพาผมไปเจาะเลือดใหม่
ระหว่างเจาะเลือด เจ้าหน้าที่ดูที่สีเลือดผมแล้วเปรยออกมา
"สงสัยจะซีดจริงๆค่ะหมอ เพราะปกติสีน่าจะแดงกว่านี่"
"ตาย -่า จะเป็นอะไรนี่ " ผมคิด
หลังจากเจาะเลือดเสณ้จเจ้าหน้าที่ห้องแลปให้ผมนั่งรอผลซักพัก เค้าจะตรวจให้เลย มันเป็นการรอที่ยาวนานมากๆ
"ผลก็ปกตินี่ค่ะ" สิ้นสุดการรอคอย เจ้าหน้าที่แลปเดินออกมาพร้อมกับบอกผมว่าผลปกติ แล้วถ้าอย่างนั้นเมื่อวานนี้ผลเลือดของผมผิดปกติได้อย่างไร
หลังจากที่ได้พยายามหาสาเหตุแล้วคิดว่าน่าจะมีการสลับผลเลือด ทางห้องแลปได้ขอโทษผมที่ทำให้ผมใจหายใจคว่ำ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ให้เค้านำปัญหานี่เข้าสู่กระบวนการบริหารความเสี่ยงและให้เค้ารีบติดตามว่าคนไข้ที่ผลสลับกับผมเป็นใครให้รีบนำมารักษาโดยด่วนเพราะคนนั้นคงป่วยหนักมาก
ผมกลับมาด้วยความโล่งอก พระผลเลือดของผมยังปกติไม่มีอะไร แต่อาการอ่อนเพลียนี่ล่ะมันเกิดจากอะไรกันแน่ มันอาจจะเกิดจากร่ายกายผมคงจะไม่แข้งแรง ผมเลยตั้งใจไว้ว่าตั้งแต่บัดนี้เป้นต้นไป ผมจะต้องออกกำลังกายทุกวันที่ไม่ได้ไปตรวจคนไข้ รวมทั้งลดกิจกรรมทำลายสุขภาพ และลดน้ำหนักเพราะตอนนั้นน้ำหนักผมพุ่งไปเกือบจะถึง 100 กิโลกรัมขณะที่ผมสูง 180 เซนติเมตร ถือว่าอ้วนมาก โดยหวังว่าร่างกายผมจะแข็งแรงขึ้นแล้วอาการอ่อนเพลียน่าจะหายไป

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 2 ชีวิตแห่งความประมาท

หลังจากใช้ทุนครบ 3 ปี ผมได้มาเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยที่ผมไฝ่ฝันอยากจะมาเรียนสมัยอยู่มัฐธยมแต่ entrance ไม่ติด แต่ก็ได้มีโอกาสมาเรียนจนได้ แต่กว่าจะได้มาเรียนเพื่อนๆที่เคยอยู่เชียงใหม่ก็เรียนจบแล้วแยกย้ายกันไปหมดจนแทบจะหาเพื่อนเที่ยวไม่ได้เลย
ช่วงชีวิตที่เชียงใหม่ของผมมีทั้งหลายรสชาติ ช่วงเรียนเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่หนึ่งนั้นแทบจะมีแต่ความน่าเบื่อหน่าย แต่ผมไม่ได้เบื่อการเรียนเพียงแต่เบื่อชีวิตที่เงียบเหงา ก็มาเรียนผิดช่วงเวลาเลยแทบจะไม่มีเพื่อนเลย อีกอย่างการเรียนพยาธิวิทยามันไม่ต้องอยู่เวรนอกเวลา สรุปคือไปเช้ากลับเย็น วันหยุดราชการก็ว่าง ดังนั้นผมก็ได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่แต่ในหอพัก แรกๆก็ขับรถไปเที่ยวห้างแต่หลังเริ่มเบื่อเพราะหาเพื่อกินเพื่อนเที่ยวไม่ได้ นานๆทีผมจึงได้มีโอกาสออกไปกินข้างนอกเมื่อมีเพื่อนมาเที่ยวหา อาจจะเป็นเพราะว่านานๆทีจึงจะได้กินดังนั้นเวลาทีผมได้เมาทีไร มักจะเมามาก เมาถึงขนาดว่าเมาไม่รู้สึกตัว ตื่นมาตอนเช้านี่ลืมไปเลยว่าเมากลับมาที่ห้องได้อย่างไร ถ้าเราเมาขนาดที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วจำไม่ได้ว่าทำอะไรก็แสดงว่าเมามาก ผมมานั่งนึกตอนนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองนั้นรอดมาได้อย่างไรเพราะเมามากขนาดนั้นแล้วขับรถกลับมาที่ห้องได้โดยไม่มีอุบัติเหตุหรือโดนตำรวจจับนี่ถือว่าบุญมากเลย
ชีวิตผมมันวนๆเวียนๆอยู่กับสิ่งนี่ อาการแปลกๆที่มันเริ่มเตือนผมมันก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ ผมจะรู้สึกว่าบางวันผมจะรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย เพลีย จนขนาดว่าเลิกจากงานตอนเย็นต้องนอนหลับตลอดจึงจะดีขึ้น บางวันจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะมีไข้ต้องกินยาparacetamol แล้วนอน ช่วงหลังๆนี้ผมหารายได้พิเศษรับตรวจคนไข้ตามคลีนิกตอนเย็นๆ วันไหนที่ต้องออกไปคลีนิกผมจะรู้สึกว่าตอนใช้พลังงานอย่างมากในการต่อสู้กับความง่วง ความปวดเมื่อย
อาการเหล่านี้มันเป็นๆหายๆไม่ได้เป็นทุกวัน ถ้าไปถามแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่มีใครบอกได้หรอกครับว่าเป็นอะไร มันเป็นลักษณะที่เรียกว่าอ่อนเพลียเรื้อรัง ตอนนั้นผมคิดว่าอาการที่ว่าน่าจะเกิดจากการที่ผมไม่ได้ออกกำลังกาย แต่กว่าผมจะเอาชนะตัวเองเอาตัวเองมาออกกำลังกายได้ก็ตอนผมเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 2 แรกๆผมไปวิ่งออกกำลังกาย ตอนนั้นทำให้ผมรู้ว่าการออกกำลังกายมันสดชื่นมาก ทำให้คิดว่าทำไมเราไม่ออกกำลังกายมาตั้งแต่แรก ช่วงหลังผมเริ่มเจ็บเข่าเนื่องจากน้ำหนักตัวมากเลยเปลี่ยนมาใช่วิธีการปั่นจักรยานแทน ส่วนเรื่องการออกไปดื่มกินนั้นตั้งใจไว้ว่าจะลดลงจากเดิม
ถึงแม้ว่าผมจะพยายามออกกำลังกายทุกเย็นที่ว่างแต่อาการอ่อนเพลียเรื้อรังมันก็ไม่ได้หายไป บางทีมีความรู้สึกว่ามันจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ มันยังมาเป็นช่วงๆทำให้บางวันผมต้องต่อสู้กับอาการนี้ในการที่จะเอาชนะเพื่อไปออกกำลังกาย
ในเมื่อผมออกกำลังกายแล้วอาการอ่อนเพลียยังไม่หาย ผมเลยคิดว่าอย่างลองตรวจร่ายกายทั่วไปดูก่อนเผื่อจะเจอสาเหตุของอาการอ่อนเพลีย ผมเลยเจาะเลือดตรวจ lab ทั่วๆไปแต่ผลเลือดที่ออกมาทำให้ผมตกใจ เพราะผลการตรวจเม็ดเลือดของผมผิดปกติมาก ความเข้มข้นเลือดของผมบ่งบอกว่าผมซีดมาก (Hct 9%) และผมกำลังมีภาวะติดเชื้้ออย่างรุนแรง (WBC มากกว่า 10000 และ neutrophil มากกว่า 90%) ผมตกใจมาก ผมจะเป็นอะไรนี่!!