วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทที่ 1 สัญญาณเตือน


ผมจบแพทย์เมื่อปี 2545 จากมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นรุ่นที่สองของคณะแพทย์ในคณะนั้น หลังจากจบมาได้ไปเป็นแพทย์เพิ่มพูนทักษะที่โรงพยาบาลน่านเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นไปทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลบ่อเกลือจังหวัดน่าน และโรงพยาบาลน้ำหนาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ล่ะ 1 ปีตามลำดับ
สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนแพทย์นั้น ผมถือว่าเป็นนักดื่มประจำรุ่นก็ว่าได้ โดยเฉพาะวันไหนที่สอบเสร็จหรือไม่ได้อยู่เวรผมจะต้องชักชวนเพื่อนออกไปนั่งจิบเบียร์ ฟังเพลง เรียกว่าใช้ชีวิตประมาทสุดๆ หลังจากจบมาเป็นแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลน่าน ผมเหมือนได้อิสระภาพจากการเรียนหนัก วันไหนที่ผมไม่ได้อยู่เวรผมก็จะออกไปเที่ยวกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลตลอด กลับมาก็ตี่ 4 ตี 5 ตอนเช้าก็ไปทำงาน ทำร้ายร่างกายแบบนี้ตลอด
หลังจากนั้นอีก 1 ปีที่ผมย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลบ่อเกลือจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ไกลและกันดารที่สุดในจังหวัดน่านก็ว่าได้ ตอนนั้นที่โรงพยาบาลแทบจะเรียกว่าเป็นยุดของคนขี้เมาก็ว่าได้ ผมไปเจอพรรคพวกที่เข้าขากันในเรื่องนี้ เรียกได้ว่าทั้งเมาทั้งเที่ยวแทบจะทุกวันที่ไม่ได้อยู่เวร ยิ่งกว่านั้นคือการที่อยู่บนภูเขาห่างไกล จะหาซื้อเหล้าเบียร์มันก็ยาก ก็ดื่มเหล้าเถื่อนกันนี่เลย ถูกประหยัด เมาได้เหมือนกัน
บางท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม่ถึงได้กินแต่เหล้า แล้วการงานจะเป็นอย่างไร ผมเป็นถึงหมอความรับผิดชอบมันก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วถึงแม้ว่าผมจะกินเหล้าบ่อยแต่ผมก็ไม่เคยกินในเวลาหรือว่าเวลาอยู่เวร ตอนนั้นผมมีความรู้สึกว่าการกินเหล้ามันสนุก มีเพื่อนเยอะ นอกจากนั้นทำให้เราเข้ากับชาวบ้านได้ ซื่งจำเป็นเหมือนกันสำหรับชีวิตหมอชนบทที่ต้องไปเข้าหาชาวบ้านทำงานเชิงรุก
เวลาผ่านไปเหมือนโกหก อีก 1 ปีต่อมาผมได้โยกย้ายลงมาใกล้บ้าน มาอยู่ที่โรงพยาบาลน้ำหนาวเพชรบูรณ์ ผมก็ยังดำเนินชีวิตเหมือนเดิม แต่ผมเริ่มมีความรู้สึกว่าอยากจะลดกิจกรรมแบบนี้ลง แต่ก็ยังไม่ได้เลิกเพราะมันเหมือนกับความรู้สึกที่ติดอยู่ในหัวว่าถ้าไม่มีเหล้า มันก็ไม่มัน ดังนั้นเวลาที่ไปเที่ยวหรือมีโอกาสสำคัญผมก็ต้องกินเหล้าตลอด
จนถึงเวลาช่วงใช้ทุนจะครบ 3 ปีตามสัญญาที่ให้กับรัฐบาล ถึงตอนนั้นผมต้องตัดสินใจว่าจะไปไหนต่อในหนทางของการเป็นหมอ จะไปเรียนต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือทำงานเป็นแพทย์ในชนบทต่อ หรือลาออกไปอยู่เอกชนใช้ชีวิตในเมือง ถึงเวลานั้นผมสับสนมาก เพราะไม่เคยคิดวางแผนมาก่อนเลย ทำให้รู้สึกเครียดมาก ผมคิดว่าผมคงเต็มอิ่มกับการเป็นแพทย์ทั่วไปแล้วและผมก็ตัดสินใจแบบเปลี่ยนชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือ ตัดสินใจไปเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านพยาธิวิทยากายวิภาค
ต้องขอเล่าก่อนว่าแพทย์ทางพยาธิวิทยากายวิภาคนี้คืออะไร แน่นอน ผมคิดว่าคงไม่มีใครรู้ใช่ไหม แพทย์ทางด้านนี้มีชื่อเรียกทางภาษาไทยเท่ๆว่า พยาธิแพทย์(อ่านว่า พะ-ยา-ทิ-แพทย์ ไม่ใช่ พะ-ยาด-แพทย์ น่ะครับ) หรือภาษาอังกฤษว่า pathologist วงการแพทย์เค้าชอบเรียกสั้นๆว่าหมอพาโถ หมอสาขานี้จะทำมีหน้าที่ให้การวินิจฉัยผลจากชิ้นเนื้อที่แพทย์ผู้รักษาคนไข้ส่งมาแล้วรายงานผลให้แพทย์ผู้รักษาอีกที ยกตัวอย่างง่ายๆคือ ถ้ามีคนไข้มีก้อนที่เต้านมมา ศัลยแพทย์จะผ่าเอาก้อนที่เต้านมนั้นออก แล้วส่งให้พยาธิแพทย์ตรวจ ขั้นตอนการตรวจคือดูด้วยตาเปล่าและดูลักษณะของเซลล์จากกล้องจุลทรรศน์แล้วรายงานผลออกไปให้กับศัลยแพทย์ว่าก้อนนั้นเป็นอะไร เช่นเป็นมะเร็งหรือไม่ แล้วศัลยแพทย์ก็จะทำการรักษาคนไข้ต่อ จะเห็นว่าหมอสาขานี้ทำงานอยู่เบื้องหลังจริงๆ เปรียบดังผู้ปิดทองหลังพระ
มาเข้าเรื่องกันต่อ หลังจากที่ผมตัดสินใจเรียนทางด้านพยาธิวิทยาแล้ว คำถามที่ผมจะได้ยินเกือบเป็นร้อยๆคำถามคือ "คิดยังไงมาเรียนพาโถ" เหตุที่มีคนถามเพราะเป็นสาขาที่หาคนเรียนแทบจะไม่ได้หมอๆส่วนใหญ่จะมองว่าสาขานี้เรียนยาก งานน่าเบื่อ และรายได้น้อย ซึ่งในเรื่องรายได้นั้นแทบจะเทียบไม่ได้กับบางสาขา ผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม รู้แต่ว่าน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูก แต่เหตุที่ผมบอกได้ตอนนั้นคือ
1. ผมไม่ชอบการอยู่เวรในเวลากลางคืนมาตั้งแต่ในแต่ไรแล้ว ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ ผมมักจะไม่ชอบการที่ต้องอยู่เวรทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน ดังนั้นผมจึงไม่คิดจะเรียนทางด้านในสาขาที่ต้องอยู่เวรกลางคืน
2. ผมเบื่อการทำงานร่วมกับแพทย์ ไม่ได้หมายถึงแพทย์ทุกคนน่ะครับ บางคนเท่านั้น เนื่องจากคนที่เรียนแพทย์มักจะเป็นคนที่เก่ง มีความมั่นใจสูง เถียงไม่ได้แล้วก็ชอบข่ม ดุ ว่า แพทย์รุ่นน้องแบบไม่มีเหตุผล ผมเคยมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับแพทย์รุ่นพี่ที่นิสัยแบบนี้สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ปี 6 (extern) จนผมเคยคิดว่าจะไม่กลับไปอยู่แบบนั้นอีกแล้ว เพราะไม่มีความสุขในการทำงานมากๆ ซึ่งถ้าผมไปเรียนผมต้องไปเป็นแพทย์ประจำบ้านปีที่ 1 ผมต้องไปฟังคำสั่งของพวกแพทย์รุ่นพี่ ถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าเจออย่างที่ผมบอกไว้ผมคิดว่าผมคงอยู่ไม่ได้ ทำให้ตัดสินใจมาเรียนทางพยาธิวิทยาเพราะตอนนั้นคิดว่าคงไม่เจอแบบนี้ (มารู้ตอนหลังว่าคิดผิด)
3.เหตุผลข้อนี้นั้นตอนแรกผมไม่ได้คิดถึงหรอก แต่ตอนหลังที่ผมป่วยผมมาคิดแล้วก็รู้ว่านี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง เรื่องของเรื่องคือว่าตอนที่ผมเป็นแพทย์ใช้ทุนที่โรงพยาบาลน้ำหนาวนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่แข็งแรง จะรู้สึกว่าตัวเอง จะเพลียๆปวดเมื่อยตามตัวง่าย โดยเฉพาะตอนเลิกงาน มันเพลียจนต้องกลับมานอนที่บ้านพักทุกวัน บางครั้งจะเป็นมากเหมือนว่าตัวจะมีไข้แต่วัดไข้ก็จะไม่มีไข้ สุดท้ายต้องกินยาพาราเซตตามอล ขับรถไกลไม่ได้จะเพลียมากๆ หรือนั่งนานๆไม่ได้ต้องอยากจะนอนตลอด ผมเป็นแพทย์แผนปัจจุบันผมยังไม่รู้เลยว่าอาการที่ตัวเองเป็นคืออะไร ผมลองตรวจเลือดดูว่าผิดปกติไหมก็ปกติหมด ตอนนั้นก็คิดว่าอาจจะเกิดจากการที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปออกกำลังกายซะทีเพราะเวลาเลิกงานมันอยากจะนอนมากกว่า อาการแบบนี้มันเป็นไม่มากและเป็นๆหายๆ ทำให้ผมไม่อยากตื่นตอนกลางคืน ถ้าวันไหนโดนตามมาดูคนไข้หลังเที่ยงคืนจะรู้สึกว่าตื่นมาจะไม่สดชื่น มึนๆ อาการแบบนี้ทำให้ผมไม่อยากไปเรียนสาขาที่ต้องอยู่เวร และอีกอย่างผมไม่รู้เลยว่าอาการที่ผมเล่ามามันคือสัญญาณเตือนบางอย่างที่ผมจะได้เจอในอนาคต

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เกริ่นนำ

พระท่านเคยสอนไว้ว่า ไม่ควรใช้ชีวิตอยู่ในความประมาท เป็นความจริงทีเดียวแต่แปลกที่คนเรานั้นมักจะไม่ตระหนักในคำสอนนี้ แม้แต่ตัวผมเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นหมอได้เห็นความเจ็บป่วย เห็นคนตายมามากต่อมาก แต่ก็ยังใช้ชีวิตแบบประมาทมาตลอด ทั้งการอดหลับอดนอนจากการอยู่เวร รวมทั้งการเที่ยวกลางคืน ดื่มหนัก คิดแต่ว่าถ้ามันจะป่วยจริงก็คงอายุ 60-70 ปี ซึ่งมันก็ตามแต่วัย แต่หาไม่เลยพอผมอายุเข้าเลข 3 วัยที่กำลังทำงานสร้างฐานะ ในช่วงที่ผมกำลังจะเป็นแพทย์เฉพาะทาง ผมก็เป็นโรคร้ายที่ ไม่รู้ว่าจะหายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมแทบจะตั้งตัวไม่้ทัน ทุกอย่างในชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลง ทั้งการดำเนินชีวิต การงาน รวมทั้งต้องเลิกเที่ยวเลิกดื่มกินไปโดยบริยาย ถึงแม้ว่าความเจ็บป่วยที่ผมเป็นนั้นไม่ได้เกี่ยวกับการที่ผมเที่ยว ดื่มกิน ก็ตาม แต่ถ้าตอนนั้นผมรักษาสุขภาพมากกว่านี้ร่างคงแข็งแรงกว่านี้
ผมเขียน blog นี้ขึ้นมาเพื่ออยากจะบันทึกถึงชีวิตของผมที่เป็นถึงหมอ หมอที่มีหน้าที่รักษาคนไข้ แต่สุดท้ายก็ป่วยต้องมาเป็นคนไข้เสียเอง ผมจะหาเวลามาเขียนบ่อยๆตามแต่เวลาและโอกาสจะเอื้ออำนวยครับ อาจจะช้าเร็วบ้างก็ถ้าใครมาอ่านก็ลองติดตามดู แล้วอย่าลืมฝากคอมเมนต์ไว้ด้วยน่ะครับ / หมอพยาธิคนหนึ่ง