วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บทที่ 24 ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

ขณะนี้ผ่านมาได้เกือบ 3 ปีแล้วที่ผมได้ผ่าตัด thymectomy ขณะนี้ผมหยุดยากดภูมิคุ้มกันมาได้ 1 ปีกว่าๆ อาการของผมถือว่าดีขึ้นจนแทบจะไม่มีอาการของโรค myasthenia gravis แล้ว แต่ผมยังไม่ขึ้น (หัวโล้นต่อไป) แผลในปากก็เป็นๆหายๆ แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
ผมไม่เคยคิดเลยว่าจากที่เหนื่อยๆป่วยเกือบแย่ จะสามารถกลับมาดีได้ขนาดนี้ถึงแม้ว่าจะไม่แข็งแรงเหมือนปกติก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของผมที่อาการกลับมาได้ขณะนี้
การเจ็บป่วยขนาดนี้ทำให้พบได้รู้ถึงอะไรหลายๆอย่าง ชีวิตคนเราทุกวันนี้ถ้ายังแข็งแรงอยู่มักจะไม่คิดถึงสุขภาพร่างกายตัวเอง มักจะดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ทังเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ขาดพักผ่อน กว่าจะมารู้ตัวก็ร่างกายทรุดโทรมมาก ถึงเวลานั้นถึงจะคิดได้ บางคนก็สายเกินไปเสียแล้ว
บทนี้ผมขอเป็นบทส่งท้ายของเรื่องราวของผม ปัจจุบันผมยังไม่มีอาการกำเริบกลับมาแต่่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าหายขาดเพราะโรคภูมิต้านตัวเองนั้นจะไม่เรียกว่าหายขาดแต่จะเรียกว่าโรคสงบ บางคนโชคดีโรคก็สงบไปตลอดชีวิตจนเหมือนกับว่าหายจากโรคนั้นแล้ว ผมก็ขอภาวนาขอให้เป็นเช่นนั้นครับ
ชีวิตผมหลังจากนนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ผมก็จะขอดำเนินชีวิตแบบไม่ประมาท ดูแลตัวเอง งดสารเสพติด สุรายาเมาต่างๆ หมั่นทำบุญและพยายามทำใจให้เข้มแข็งพร้อมที่จะยอมรับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้น
สำหรับผู้อ่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ผมก็ขอให้ทุกท่านดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท งดยาเสพติด สุราบุหรี่ รักษาศีลห้า จะทำให้เรามีชีวิตที่แข็งแรงตลอดไป


วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 23 การผ่าตัดครั้งที่สอง

การผ่าตัดครั้งที่สองนี้ผมผ่าตัดที่ โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่เนื่องจากว่ามีแพทย์ทางศัลยกรรมทรวงอกอยู่และการผ่าตัดก็ไม่ใช่การผ่าตัดที่ยากนักเพียงแค่ตั้งตัดกระดูกหน้าอกเข้าไป หรือพูดง่ายๆว่า แหกอก มันทำให้รู้สึกสยองมากกว่าการที่ต้องผ่าตัดท้อง
การผ่าครั้งที่ตอนแรกที่ผมเองกลัวคือกลัวการที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจหลังจากผ่าตัด นอกจากนั้นจากที่เคยได้คุยกับเพื่อนๆหมอบางคนซึ่งเข้าได้กล่าวถึงการผ่าตัดชนิดนี้ไว้น่ากลัวมากจนผมกังวล
กลัวไปหมด
หลังผ่าแล้วจะหายใจได้ไหม หายใจเข้าออกจะเจ็บแผลขนาดไหน
ตอนที่มีท่อช่วยหายใจอยู่ในคอจะรู้สึกอย่างไร แค่คิดก็อึดอัดมากแล้ว
3-4 วันก่อนผ่าตัด ผมกลัวจนกลายเป็นเครียดไปเลย นอนไม่หลับ กังวลไปหมด จนรู้สึกว่ากังวลกว่าการผ่าตัดครั้งแรกอีก
จนถึงวันผ่าตัด ผมเข้าผ่าตัดช่วงบ่ายของวันหนึ่ง ผมสลบไปในห้องผ่าตัดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้อีกที่คืออยู่ใน ICU
ผมเหมือนค่อยๆคืนสติ แล้วพบว่าตัวเองกำลังโดนพยาบาลรุมตัวผมอยู่ ผมเห็นทั้งหมอดมยา หมออายุรกรรม และหมอศัลยกรรม ดูผมอยู่ ที่แน่ๆ มีท่ออยู่ในปาก พอผมเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น ก็รู้สึกว่าไม่อึดอัดเท่าที่เคยกลัวแต่พอผมพยายามจะหายใจเข้า ผมต้องหยุดหายใจทันที เพราะผมเจ็บที่แผลมาก ใช่แล้ว แผลที่หน้าอก เจ็บสุดๆ แต่ก็ยังเจ็บน้อยกว่าที่จินตนาการไว้
ด้วยที่ผมเป็นหมอ ผมเลยรู้ว่าตอนนี้เค้ากำลังทดสอบการหายใจของผมว่าผมจะหายใจเองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือเปล่า ผมพยายามหายใจเต็มที่เพื่อใช้ค่าปริมาณอากาศที่ผมหายใจเข้าออกมากๆ (tidal volume) ถึงแม้ว่าจะเจ็บแผลมากก็ตาม จนผมได้ยินพี่หมอพูดกันว่า เอา tube ออกได้  ก็คือหมายถึงให้เอาท่อช่วยหายใจออกได้ ผมดีใจมาก
ช่วงก่อนที่จะเอาท่อช่วยหายใจออกนั้น เค้าต้องดูดเสมหะก่อน หรือที่เค้าเรียกว่า suction secretion คือการใช้สายยางเล็กๆต่อเข้ากับเครื่องดูดใส่เข้าไปในหลอดลมของเราเพื่อดูดเอาเสมหะออกมา ผมเคยได้ยินคนที่เคยโดนใส่ท่อช่วยหายใจเล่าว่าตอน suction secretion  นี่เจ็บสุดๆก็ได้มารู้เดียวนี้ นี่เอง เจ็บสุดๆเลยครับ ในคอของเรา เวลาที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปร่างกายเราจะมีกลไกขย้อนเอาสิ่งนี้นออก เรียกว่า gag reflex พอผมโดน suction secretion แล้วมี gag reflex นี้เจ็บสุดๆเลย เพราะทั้งอกแล้วก็หน้าอกมันจะเด้นขึ้นมาตามแรงของ reflex ผมจะเจ็บที่แผลมาก แล้วก่อนที่เค้าใส่สายยางเข้าไปนั้นเค้าจะบีบอุปกรณ์ช่วยหายใจอัดลมเข้าไปในปอดเราก่อนเพื่อไม่ให้เราขาดอากาศช่วงที่กำลัง suction secretion ตอนที่เค้าบีบนี้เจ็บสุดๆ เหมือนโดนอัดอากาศเข้าไปเต็มปอด อกก็จะขยาย เจ็บแผลจนน้ำตาไหลเลย จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกคนไข้ได้อย่างดี
หลังจากที่เอาท่อช่วยหายใจออก ผมอยู่ใน ICU อีก 1 วันก็ได้ย้ายออกมาห้องพิเศษเพราะผมไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร ผมค่อยๆพื้นตัวและรู้สึกว่าไม่เจ็บแผลอย่างที่คิด เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดครั้งแรกด้วยซ้ำ
2 วันต่อมาผมก็เอาท่อระบายเลือดที่หน้าอกออก (สายICD) เพิ่งรู้ว่าแค่การเอาสาย ICD ออกก็เจ็บสุดๆ หลังเอาออกหายใจเจ็บแสบไปหลายชั่วโมงเลยกว่าจะหาย
ผมนอนอยู่ในห้องพิเศษเจ็ดวันก็ออกจาก รพ.มาพักที่ห้องพักได้ สรุป การผผ่าตัดหน้าอก thymectomy ไม่เจ็บทรมานอย่างที่กลัว
ตอนนี้ผมยังต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน และยารักษาอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงไปอีก หมอได้บอกผมว่า ผมต้องกินยากดภูมิคุ้มกันอีก 2 ปี ถ้าไม่มีอาการขึ้นมาอีกก็หยุดได้ ส่วนยารักษาโรคความดันโลหิตสูงคงต้องกินตลอดชีวิต
ลืมบอก ผมชิ้นเนื้อไทมัสของผมปกติครับ ไม่มีอะไรร้ายแรง

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บทที่ 22 ตัดสินใจผ่าตัดอีกครั้ง

กว่าการตรวจเรื่องโรคความดันโลหิตสูงที่ได้กล่าวในบทที่แล้วจะเสร็จก็ใช้เวลาเกือบ 1 ปี เนื่องจากการตรวจเลือดบางชนิดต้องส่งเข้าไปตรวจที่ กทม. และต้องรอคิวด้วย จึงใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรอคอย
ถึงเวลานี้ก็ผ่านไปเกือบ 1 ปีหลังจากที่ผ่าตัดท้อง อาการต่างๆของผมก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หาย แผลในปากก็หายไปเกือบหมด เหลืออยู่นิดหน่อยเอาไว้เตือนความทรงจำ ผมยังไม่ขึ้นโล้นยังไงก็โล้นอย่างนั้น อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่มีแล้วยังเหลือแต่อาการเหนื่อยเพลีย ตอนนี้ผมหยุดยาสเตียรอยด์ไปแล้วเนื่องจากเปลี่ยนไปใช้ยากดภูมิคุ้มกันแทน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์
หลังจากที่ตรวจเรื่องโรคความดันโลหิตสูงเสร็จ ผมก็ตัดสินใจว่าจะผ่าตัดทัยมัส เนื่องจากคิดว่าอยากจะรักษาทุกอย่างให้ครบถ้วน ถึงแม้ว่าอาจารย์บางท่านเห็นว่าไม่ต้องผ่าทัยมัสแล้วก็ตาม แต่ผมเห็นว่าในเมื่อมาตราฐานการรักษาตามแพทย์แผนปัจจุบันคือการตัดทัยมัส ก็อยากจะทำให้ครบถ้วน
การผ่าตัดครั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้วแตกต่างกันมาก เนื่องจากครั้งนี้ร่างกายผมแข็งแรงมากกว่าเดิม การหายใจเหนื่อยไม่ค่อยมี แต่แค่พูดว่าเป็นการผ่าตัดหน้าอก ต้องตัดกระดูกเข้าไปแค่ฟังก็น่ากลัวแล้ว ถึงแม้ว่าการผ่าตัดทัยมัสจะไม่ใช่การผ่าตัดที่ใหญ่มากแต่ในเมื่อเป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวกับหน้าอก อาจจะต้องใส่ท่อช่วยหายใจหลังผ่าตัด แค่คิดผมก็เครียดแล้วมันคงทรมานหน้าดู เฮ้อ ผมเคยดูคนไข้ใส่ท่อมาหลายคน คราวนี้จะโดนซะเองแล้ว
ใกล้วันจะผ่าตัดผมรู้สึกเครียดมากๆจนเหมือนว่าสติจะแตกเลย เมื่อเทียบกับการผ่าตัดครั้งแรก อาจจะเนื่องจากว่าครั้งนี้เรารู้กำหนดการผ่าตัดล่วงหน้านานมากๆ ยิ่งใกล้วันก็เครียด จนไม่มีสมาธิทำงาน กลัวไปต่างๆนานา ยิ่งคิดถึงอาการเหนื่อยจากการผ่าตัดครั้งที่แล้วก็กลัวจะเหนื่อยอย่างครั้งที่แล้ว คิดแล้วก็เหนื่อย

บทที่ 21 ความดันโลหิตสูง

คำที่ว่า ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาคงใช้ได้กับผมตอนนี้
หลังจากที่ผ่าตัดท้องเสร็จแล้วอยู่ในช่วงพักฟื้น ผมได้วัดความดันโลหิตตลอด ปรากฎว่าสูงตลอด แม้แต่ตอนพักไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นใดๆ
แสดงว่าผมอาจจะมีโรคความดันโลหิตสูงอีกโรค ผมไปพบหมอที่ดูแลผมอยู่ก็ให้ลองดูดวามดันโลหิตอีกประมาณ 1 เดือน
แต่เมื่อครบหนึ่งเดือนแล้วความดันโลหิตก็ยังสูงอยู่ สรุปผมเป็นความดันโลหิตสูงจริงๆ
แต่ปัญหาของผมก็คือผมอายุยังน้อย ซึ่งปกติแล้วโรคความดันโลหิตสูงนั้นมักจะเจอในคนที่มีอายุมากๆ ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปีแล้วมีความดันโลหิตสูงอาจจะมีโรคบางอย่างที่ทำให้มีความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่ามีโรคบางอย่างที่ทำให้ความดันโลหิตสูงซ่อนอยู่
ผมถูกส่งไปพบแพทย์อายุรกรรมทางระบบต่อมไร้ท่อเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีโรคอื่นๆแผงอยู่
ซึ่งมีโรคดังนี้ครับ
1.โรคเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ใกล้หัวใจตีบ (กรณีนี้ต้องให้อายุรแพทย์หัวใจเป็นผู้ดู) โรคนี้จำทำให้ความดันสูงได้ ลักษณะสำคัญคือความดันที่ แขน 2 ข้างและขาจะไม่เท่ากัน ซึ่งผมตรวจแล้วปกติ
2.โรคไทรอยด์เป็นพิษ โรคนี้จะมีหัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง ผมก็ตรวจเลือดแล้วปกติ
3.โรคเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตชั้นนอก (adenocortical adenoma) โรคนี้ตัวเนื้องอกจะมีการสร้างฮอร์โมนบางชนิด เช่น aldosterone จะทำให้มีการดูดซึมเกลือแร่บางอย่างสูงร่างกายมากเกิดภาวะความดันโลหิตสูง โรคนี้ผมต้องไปนอน รพ.เพื่อทำการตรวจสอบ โดยการให้นอนราบกับพื้นโดยไม่หนุนหมอนตลอดเวลา ตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง 8 โมงเช้า และตั้งแต่ตี 4 จะให้น้ำเกลือ 2ลิตร ให้หมดในเวลา 8 โมงเช้า แล้วเจาะเลือดตอน 8 โมงเช้า หลังจากนั้นก็ต้องนั่งตลอดห้องนอนจนถึงเที่ยงก็เจาะเลือดอีกรอบ ซึ่งผลเลือดก็ปกติ
4. โรคเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตส่วนใน (Pheochromocytoma) เนื้องอกชนิดนี้จะสร้างสารที่มีชื่อว่า catecholamine ทำให้มีภาวะความดันโลหิตสูง การตรวจหาโรคนี้คือเก็บปัสสาวะเป็นเวลา 3 วันเพื่อหาสาร vanilllylmandelic acid(VMA) ซึ่งเป็นสารที่จะออกมาในปัสสาวะซึ่งสร้างมาจากเนื้องอกชนิดนี้ ผมก็ตรวจแล้วปกติ
5. โรคเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไตตีบแคบ (renal artery stenosis) โรคนี้ถ้ามีภาวะเส้นเลือดแดงไปเลี้ยงไตตีบ ทำให้เลือดไปที่ไตน้อยจะมีการกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนบางชนิด เพื่อกระคุ้นให้เลือดไปที่ไตมากขึ้น สุดท้ายก็จะทำให้ความดันโลหิตสูง การตรวจหาโรคนี้ผมต้องไปตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับฉีดสีดูขนาดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไต สรุปผลก็ปกติ
เมื่อผลออกมาดังนี้ก็อาจจะสรุปได้ว่าผมเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดที่ไม่มีสาเหตุ (ชนิดเดียวกันกับที่คนทั่วไปที่อายุมากกว่า 35 ปีเป็น) ก็ต้องกินยาลดความดันโลหิตเพิ่มมาอีกตัวตามระเบียบ

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 20 Castleman's disease

ตกลงก้อนที่มาอยู่ในท้องตั้งนานแสนนาน (อาจจะอยู่ตั้งแต่เด็กๆ) ที่ทำให้ผมใจหายใจคว่ำก็คือ Castleman's disease นั่นเอง
เท่าผู้อ่านคงงงว่ามันคืออะไร โรคนี้ไม่มีชื่อภาษาไทยอีกตามเคย แต่พูดง่ายๆก็คือก้อนที่ว่านั้นเป็นต่อมน้ำเหลืองธรรมดา เพียงแต่ว่ามันโตมากกว่าปกติที่ควรจะเป็น
ต่อมน้ำเหลืองเป็นอัวยวะเล็กๆ กระจายอยู่ตามร่างกายคนเรามีหน้าที่ในการเป็นที่อยู่และเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาว ซึ่งเม็ดเลือดขาวก็คือเซลล์ที่ทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ต่อมน้ำเหลืองเปรียบเสมือนค่ายทหาร เมื่อเวลาที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค หรือสารบางอย่าง ต่อมน้ำเหลืองก็จะต้องทำงานหนักเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของเม็ดเลือดขาวเพื่อให้ไปสู้กับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ จึงทำให้ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดโตขึ้น ลองสังเกตดูว่าเวลาที่เราเป็นไข้เจ็บคอ ต่อมทอลซิลอักเสบนั้น เราจะคลำได้ต่อมน้ำเหลืองใต้คางว่าโตขึ้นแล้วบางทีก็เจ็บด้วยเนื่องจากบางครั้งเชื้อโรคมันบุกไปถึงต่อมน้ำเหลืองด้วย
ต่อมน้ำเหลืองที่โตแบบนี้มักจะโตไม่มาก เท่าที่เห็นมักจะไม่เกิน 2-3 เซนติเมตร ถ้ามากกว่านั้นอาจจะเกิดจากสาเหตุอื่นๆเช่น มะเร็ง
แต่ก็อยางไรก็ตามก็มีต่อมน้ำเหลืองโตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่รู้สาเหตุว่าโตจากอะไร และมักจะโตมากด้วย Castleman's disease คือโรคในประเภทนี้
โรค Castleman's disease คือต่อมน้ำเหลืองที่โตมาก แต่ไม่รู้ว่ามีสาเหตุอะไรมากระตุ้น ต่อมนั้นจะโตได้เป็น 10 เซนติเมตรเลย (เหมือนผม) บางคนมีหลายก้อน บางคนเป็นก้อนเดียว ส่วนใหญ่ผ่าตัดแล้วก็จบ ถึงแม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุแต่เค้าพบว่า โรค Castleman's disease นั้นสัมพันธ์กับบางโรค เช่นโรคภูมิเพี้ยน(แบบผม) โรคมะเร็ง (ส่วนใหญ่เป็นพวกมะเร็งเม็ดเลือด ) แต่บางคนก็ไม่พบว่าเป็นโรคอะไรเลย
การที่ผลก้อนในท้องของผมเป็นโรค Castleman's disease นั้นอาจจะถือว่าเป็นข่าวที่น่าจะดีก็ได้ เพราะนอกจากว่าจะไม่ใช่มะเร็งแล้ว ก็อธิบายได้ว่าโรคภูมิเพี้ยนที่ผมเป็นนั้นอาจจะเกิดจากก้อน Castleman's disease นี้ก็ได้ มันจะโตขึ้นมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาผลิตภูมิคุ้มกันที่มันเพี้ยนๆออกมาทำให้ผมมีอาการไม่สบาย
เมื่อผลออกมาดังนี้ทำให้ความเห็นของ อาจารย์หมอแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกบอกว่าผมไม่ต้องผ่าตัดไทมัสก็ได้เพราะสาเหตุของโรคน่าจะมาจาก Castleman's disease แต่อีกกลุ่มก็บอกว่าควรจะผ่าเหมือนเดิมเพราะเป็นการรักษาตามมาตราฐาน
ตอนนี้ผมขอไปพักฟื้นจากการผ่าตัดก่อน แล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะทำอย่างไร

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 19 ผจญปัญหาในห้องพิเศษ

กว่า 2วันที่จะได้ย้ายออกมาจาก subICU ผมดีใจมาก เหมือนได้รับอิสระเสรี ทั้งๆที่ยังไม่สามารถลุกเดินได้ก็ตาม แต่การนอนอยู่ใน subICU มันช่างน่าเบื่อและอึดอัดมาก
แรกๆผมมีอาการเป็นปกติอยู่ แต่หลังจากนั้นอีกประมาณ 1 วันผมเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยมากๆ เหนื่อยจนแม้แต่นั่งกับเตียงเฉยๆยังเหนื่อย
ตอนนั้นเป็นช่วงชีวิตที่ทรมานที่สุดเพราะผมต้องตั้งเตียงให้ตรง 90 อาศาเท่านั้นจึงจะพอนั่งอยู่ได้โดยไม่เหนื่อยมาก ถ้าเอนจากนี้เพียงนิดเดียวผมจะเหนื่อยทันที ปัญหาที่ตามมาคืออาการปวดหลัง ตอนนั้นการผ่าตัดที่ท้องมันทำให้ผมไม่สามารถขยับตัวได้มาก นอนตะแคงตัวก็ไม่ได้ต้องอยู่ในท่าเดียวคือท่านั่งตัวตรง น้ำหนักตอนนั้นผมก็ถือว่าเยอะมากเกือบ 100 กิโลกรัม ทำให้ผมปวดบริเวณหลังมาก แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้
ช่วง 3-4 วันที่นอนในห้องพิเศษเป็นช่วงเวลาที่ผมทรมานมาก เพราะผมจะเหนื่อยมาก เหนื่อยจนนอนไม่ได้ และเจ็บหลังมาก ได้แต่พยายามขยับตัวเท่าที่จะทำได้ ขยับมากก็เหนื่อย เจ็บแผลอีก บางทีเหนื่อยมากจนให้พ่อไปตามพยาบาล พยาบาลก็เดินมาดูพร้อมกับเครื่องวัดระดับออกซิเจนที่ปลายนิ้วและบอกว่าระดับออกซิเจนผมปกติ แต่เค้าจะรายงานแพทย์ให้ แต่ผมก็ไม่เห็นมีแพทย์มาดูซักคนมีแต่นักศึกษาแพทย์ปีที่ 6 มาดูแล้วก็ไป
ตอนนั้นกลัวมากกลัวว่าตัวเองจะโดนใส่ท่อช่วยหายใจ
แต่แปลกคือพอตอนเช้าๆ อาการเหนื่อยจะดีขึ้น พอมีแพทย์มาดูอาการผมบอกว่าตอนกลางคืนเหนื่อยมากเค้าก็ไม่ค่อยสนใจ มาดูผมไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ไป
กว่าอาการเหนื่อยจะดีขึ้นก็ปาเข้าไป หลายวันมากที่ผมพอจะนอนได้
ผมนอนอยู่ในห้องพิเศษจนครบ 7 วันก็ตัดไหมแล้วก็ได้กลับบ้าน
ลืมบอกไปว่าผลก้อนที่ท้องของผม ออกมาแล้ว ปรากฎว่าเป็น Castleman's disease

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 18 หลังผ่าตัด

ผมต้องนอนอยู่ใน sub ICU เกือบ 2 วันเนื่องจากปัญหาเรื่องปัสสาวะผมออกน้อย
ท่านผู้อ่านคงงงว่าปัสสาวะออกน้อยจะทำให้มีปัญหาได้อย่างไร ในการดูแลคนไข้วิกฤตนั้นการที่จะดูว่าคนไข้ช็อคหรือเปล่า สิ่งหนึ่งที่จะช่วยบอกได้คือการทำงานของไต ในภาวะปกตินั้นไตคนเราต้องทำงานตลอดเวลา มันจะสร้างปัสสาวะออกมาตลอดอย่างน้อยชั่วโมงละ 25-30 ซีซี ถ้าน้อยกว่านี้แสดงว่าการทำงานของไตก็มีปัญหา อาจจะเป็นอาการแรกของคนที่กำลังจะช็อค
ผมค่อนข้างจะรู้สึกตัวดีและรู้สึกปากคอแห้ง หิวน้ำมากๆ(ตอนนั้นยังงดน้ำและอาหารอยู่) ผมจึงคิดว่าผมคงขาดน้ำ แต่แพทย์ประจำบ้านที่ดูแลผมตอนนั้นประเมิณว่าผมได้น้ำเยอะแล้วไม่ขาดแน่นอน ผมโดนฉีดยาขับปัสสาวะไปไม่รู้กี่ครั้งเพื่อกระตุ้นการทำงานของไต จนเข้าวันที่ 2 ของการนอนใน sub ICU จึงสามารถดื่มน้ำได้ปรากฎว่าพอผมดื่มน้ำไปเท่านั้น อาการคอแห้งหายไปปัสสาวะก็ออกตามปกติ ก็แสดงว่าผมขาดน้ำจริงๆ หลังจากไม่มีปัญหาแล้วผมจึงได้ย้ายเข้าห้องพิเศษ
การที่ผมได้นอนอยู่ใน sub ICU นั้นมีอารมณ์ความรู้สึกหลายอย่างเหลือเกิน ตอนนั้นผมแทบจะเป็นคนไข้คนเดี๋ยวที่รู้สึกตัวในขณะที่คนไข้คนอื่นๆเค้าไม่รู้สึกตัวเลย ผมซึ่งนอนลืมตาอยู่ได้มองเห็นคนวิ่งไปวิ่งใน subICU เมื่อคนไข้เตียงข้างๆอาการแย่ ผมรู้สึกเหมือนกับโดนตัดขาดจาดโรคภายนอก กว่าที่พ่อแม่จะเข้ามาเยี่ยมต้องเป็นเวลา ทำให้เวลานอนอยู่คนเดียวู้สึกอึดอัดมาก นอกจากนั้นก่อนออกจาก subICU ก็โชคร้ายอีกเมื่อพยาบาลที่ทำความสะอาดทำสายให้ยาแก้ปวดทางไขสันหลังหลุดอีก ทำให้อาการปวดแผลผ่าตัดกลับมาอีกครั้ง