วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 13 Myasthenia gravis

ในที่สุด ผมก็ได้กลับมาตรวจที่พิษณุโลก ผมไปพบอาจารย์ทางอายุรกรรม ผลคือเป็น myasthenia gravis
ผมรู้ทันทีโดยไม่ต้องมีคำอธิบายมากมายเพราะผมก็เป็นหมอ
อาจารย์บอกเพียงแต่ว่าต่อไปต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตใหม่ หายเครียด ห้ามอยู่ในที่ร้อนๆ ห้ามป่วย
แล้วก็สั่งยามาให้ผมกิน
วินาทีแรกที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคอะไรนั้น ผมไม่ได้เครียดเพราะในใจลึกๆแล้วกลัวจะเป็นโรคอย่างอื่นที่รุนแรงกว่านี้
แต่รู้ว่าเป็นโรคนี้ก็เลยโล่งใจมากกว่า
ก่อนอื่นจะขออธิบายให้ฟังก่อนครับ โรค myasthenia gravis หรือโรค MG นั้นไม่มีชื่อภาษาไทยแต่มักจะนิยม
เรียกว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคนี้เกิดจากภูมิเพี้ยนเช่นเดิม โดยที่เซลล์เม็ดเลือดขาวบางตัวที่มีหน้าที่สร้าง
โปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแอนตี้บอดี้ (antibody) ทำหน้าที่ผิดปกติ โดยที่ปกตินั้น antibody นั้นจะทำหน้าที่ในการ
จับสิ่งแปลกปลอมเชื้อโรค เพื่อนำไปกำจัดทิ้ง แต่แอนตี้บอดี้ที่สร้างในคนเป็นโรค MG นั้นจะไปจับตรงบริเวณ
รอยต่อระหว่างกล้ามเนื้อและเส้นประสาททำให้สันญาณจากเส้นประสาทไปกล้ามเนื้อโดนยับยั้งทำให้กล้ามเนื้อ
อ่อนแรง คนไข้ก็จะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั้งตัว เริ่มต้นจะเป็นที่กล้ามเนื้อมัดเล็กๆก่อน เช่น กล้ามเนื้อตา ทำให้
หนังตาตกเห็นภาพซ้อน กล้ามเนื้อการเคี้ยวการกลืนอาหารทำให้เคี้ยวลำบากกลืนอาหารไม่ได้ สำลักอาหาร
พูดไม่ชัด และถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อมัดอื่นๆก็จะมีอาการตามอวัยวะนั้น แต่ที่อันตรายคือถ้าเป็นมากกล้ามเนื้อทรวงอกที่
ช่วยในการหายใจจะอ่อนแรง ทำให้มีอาการเหนื่อยหายใจลำบาก จนอาจจะเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลวได้
สำหรับสาเหตุของโรคนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าทำไมเซลล์เม็ดเลือดขาวจึงสร้างแอนตี้บอดี้ที่เพี้ยนไปจากปกติ แต่พบว่าส่วนหนึ่ง
ของคนไข้ที่เป็น MG มีต่อมไทมัสโต หรือมีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส ดังนั้นจึงมีข้อสัญนิษฐานว่าต่อมไทมัสอาจจะเป็นสาเหตุ
ของโรค MG ได้ และนอกจากนั้นยังพบว่าในคนไข้ที่่เป็น MG นั้นถ้าได้รับการผ่าตัดเอาต่อมไทมัสออกไปแล้ว
อาการ MG มักจะดีขึ้น จนบางคนหายขาดไปเลยยิ่งเป็นการสนับสนุนข้อสัณนิษฐานนี้
การรักษาโรค MG ก็เหมือนโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ คือสเตียรอดย์ และยังมียาอีกตัวชื่อว่า pyridostigmine (ชื่อการค้า mestinon)
เป็นยาที่มีผลในการเพิ่มสารเคมีบางตัวทำให้การจับของแอนตี้บอดี้ที่ผิดปกติตรงรอยต่อระหว่างเส้นประสาทกับกล้ามเนื้อ
น้อยลง ทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น
พอผมได้กินยา pyridostrigmine แค่เม็ดแรกแค่เพียงครึ่งชั่วโมง อาการทุกอย่างของผมก็ดีขึ้นทันตา แม้จะไม่หายไปเลยก็ตาม
อาการหนังตาตก กลืนลำบาก พูดไม่ชัดหายไปเลย รู้อย่างนี้น่าจะวินิจฉัยให้ได้ก่อนไปสอบก็น่าจะดี
แต่หลังจากที่อาจารย์แพทย์ได้ประเมินแล้วว่าอาการของผมเป็นมาก กลัวผมจะมีอาการหายใจล้มเหลว อาจารย์เลย
ตัดสินใจให้ยาอีกกลุ่ม คือยา immunoglobulin หรือ IVIg เป็นยาที่เป็นส่วนประกอบของ antibody ที่ผลิตขึ้นมาจากคน
โดยการฉีดเข้าเส้นเลือดยาจะไปจับกับ antibody ที่ผิดปกติให้ antibody ที่ผิดปกติเสื่อมลง ยากลุ่มนี้ได้ผลดีแต่ราคาแพงมากๆ
ราคาเป็นแสน แต่ตอนนั้นอาการผมหนักมาก และต้องไปสอบอีกรอบเลยกลัวว่าผมจะไปหายใจล้มเหลวที่ กทม.
หลังจากได้ยา IVIg และยาสเตียรอดย์ รวมทั้ง pydostigmine อาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับพอดำเนินชีวิตได้ถึงจะไม่หายก็ตาม
คำถามที่ตามมาอีก 1 คำถามคือแล้วอาการแผลในปากและผมร่วง เกี่ยวกับโรต MG อย่างไร ไม่มีใครตอบได้แต่น่าจะเกิดจากเป็นโรคภูมิเพี้ยน
หลายอย่างพร้อมกัน อ่านในตำราแล้วก็ไม่มีเขียนไว้ว่า โรค MG จะมีแผลในปากชนิด lichen planus กับผมร่วง
แต่อย่างไรก็ตามการรักษาก็คือ steroid เหมือนกัน



บทที่ 12 การสอบที่ทรมาน (3)

ผลการสอบปรากฎว่าผมไม่ผ่าน แต่ผมไม่เครียดน่ะครับเพราะไม่ใช่ว่าผมจะไม่เลยทีเดียว คะแนนข้อเขียนของผมต่ำกว่าเกณท์นิดหน่อย แต่คะแนนปฎิบัติกับการสอบปากเปล่าผ่าน ผมเลยได้โอกาสสอบข้อเขียนใหม่อีก 1 สัปดาห์ถัดมา แสดงว่าผมต้องเข้ามา กทม. อีกรอบ ตอนนี้ผมขอกลับไปดูตัวเองก่อน
การเดินทางกลับจาก ศิริราชไปยังพิษณุโลกครั้งนี้ แทบจะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้ง เพราะความเหนื่อยที่เป็นมากถึงมากที่สุด และอาการกลืนอะไรไม่ลง รวมทั้งต้องแบกกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ๆ แบบที่ผมเคยทำเป็นประจำ มันทำได้ยากลำบากมากตอนนั้น กว่าผมจะออกจากศิริราชได้ ผมลองดบก taxi ในศิริราช เผื่อจะมีใครรับแต่ก็ไม่มี กว่าจะลากตัวเองมาที่ วังหลังได้ ก็ต้องพักหลายรอบ กว่าจะมี taxi ยอมไปส่งที่หมอชิตก็ต้องรอหลายคันมากเพราะตอนนั้นเป็นเวลา 16.00 น เวลาที่ต้องส่งรถ กว่าจะมาถึงหมอชิตก็มืดแล้ว
ตอนที่หมอชิตผมพยายามจะหาข้าวกินเพราะหิวมาก 3 วันที่ผมไปสอบที่ ศิริราชนั้นแทบจะไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถกลืนข้าวได้เลย หลังจากที่พยายามกลืนถึงครึ่งชั่วโมง เลยลองมาซื้อนมกินก็ยังกินไม่ได้ สรุปว่าผมกลืนไม่ได้ทั้งน้ำ อาหารผมพาร่างกายที่หิวโหย และกำลังเหนื่อยล้า แทบจะเป็นลมไปขึ้นรถทัวร์ซึ่งอยู่ชานชลาไกลออกไป เป็นการเดินที่เหนื่อยมาก ผมแทบจะเป็นลม แต่ก็ยังฮึดจนมาขึ้นรถได้ มีหลายคนพูดว่าอยู่ถึงศิริราช โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยทำไมไม่ตรวจที่นั่น เป็นเพราะว่าผมอยากกลับมาหาเพื่อนคนรู้จักมากกว่า อีกอย่างตรวจที่พิดโลกก็มีคนรู้จักเยอะ อุ่นใจกว่า
ดึกวันนั้นผมมาถึงพิษณุโลกด้วยอาการ เหนื่อยล้า และคิดว่าพรุ่งจะไปตรวจเสียที ส่วนการสอบเอาไว้ก่อน การงานจะเป็นยังไงก็เอาไว้ก่อนขอเอาชีวิตไว้ก่อน

บทที่ 11 การสอบที่ทรมาน (2)

ผมมาถึงสนามสอบที่ศิรฺราชด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปกติ แค่การแบกกระเป๋าไปยังหอพักก็เหนื่อยจนต้องนั่งพักหลายครั้ง ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพื่อนๆหลายคนเริ่มทักผมว่าผมมีอาการแปลก ตลอดเวลาที่ผมไปอยู่ที่สนามสอบที่ศิริราชผมแทบจะไม่ได้กินอาหารเลย เพราะกินอะไรไปก็กลืนไม่ได้ แม้แต่อยู่เฉยๆยังกลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้
วันสอบวันแรกผ่านไปได้อย่างไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเป็นเพียงการสอบข้อเขียน มีแต่คนทักว่าทำไมผมถึงโกนหัวแล้วทำไมจึงพูดไม่ชัด ผมก็ตอบไม่ได้เหมือยกันว่าทำไม
วันที่สองของการสอบเริ่มเป็นการสอบที่ต้องใช้ตามากขึ้นคือต้องสอบมองกล้องจุลทรรศน์ ปรากฎว่าอุปสรรค์เริ่มเกิดขึ้นคือ ผมเห็นภาพซ้อนและหนังตา 1 ข้างมันปิด ทำให้ผมดูลำบากมาก ต้องเอามือปิดตา 1 ตาเพื่อไม่ให้ภาพมันซ้อน เป็นการสอบที่ไม่มั่นใจมากเลยเพราะขนาดคนตาดีๆยังไม่ค่อยจะได้แล้วนี่ผมดุด้วยตาข้างเดียว จะผ่านหรือเปล่าก้ไม่รุ้ หลังสอบในวันนั้นผมกลับห้องพักมาแบบท้อแท้เหลือเกิน คิดว่าคงจะไม่ผ่านแน่นอน ผมเริ่มคิดถึงตัวเองมากขึ้น ตอนนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าทำไมเราไม่สนใจตัวเองเลย คิดว่าพรุ่งสอบอีกครึ่งวัน ไม่ว่าผลจะเป้นอย่างไรผมจะต้องไปรักษาตัวเองก่อน
การสอบวันสุดท้ายเป็นการสอบปากเปล่า คือเข้าไปในห้องแล้วจะมีอาจารย์นั่งอยู่ในห้องซัก 3-4 คนแล้วจะมีโจทย์ให้เราอ่านหรือให้เรารายงานผู้ป่วยที่เราเคยตรวจ (ศพ) หลังจากนั้นอาจารย์ก็จะรุมยำรุมถามเรา ปกติเป็นการสอบที่เครียดแล้วก็กดดันมาก ก่อนสอบผมสอบเอารายงานการตรวจ(ศพ)ผู้ป่วยมาลองพูดดู แต่ก็มีอุปสรรค์คือผมไม่สามารถจะพูดให้ชัดได้ และเป็นมากจนถึงฟังแทบจะไม่รู้เรื่องเลย
วันสอบวันสุดท้าย ผมได้เดินไปหาอาจารย์ที่คุมสอบแล้วบอกอาจารย์ว่าผมไม่สบาย พูดไม่ชัดผมจะสอบได้หรือเปล่า ผมว่าอาจารย์คงงงแต่ก็บอกว่าถ้าพอพูดได้ก็ให้สอบไปก่อน
การสอบปากเปล่าของผมนั้นเป็นการที่ไม่เครียดเลยสำหรับผม เพราะผมเครียดเรื่องความเจ็บป่วยมากกว่า ผมแทบจะไม่สนใจเลยว่าผมจะตอบได้หรือไม่ได้ คิดแค่สอบๆให้มันจบๆไป ซึ่งปรากฎว่าการที่ผมไม่ประหม่าทำให้ผมตอบคำถามได้ดีกว่าที่คิดแฮะ ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ชัด และอาจจะได้คะแนนสงสารด้วยเพราะผมแอบเห็นอาจารย์หลายท่าน ลุ้นๆตอบผมตอบคำถามด้วย
หลังสอบเสร็จผมรู้สึกโล่มากๆ ผมมาลุ้นฟังสอบ ผมแทบจะไม่สนใจเลยว่าจะสอบผ่านไหม แต่ที่แน่ๆคืออาการประหลาดต่างๆไม่หายไป แสดงว่าผมคงมีโรคอะไรแน่นอนเลย

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทที่ 10 การสอบที่ทรมาน (1)

และแล้ววันที่ผมจะสอบก็ก็มาถึง ผมเดินทางเข้า กทม. เพียงคนเดียวทางรถทัวร์ ก่อนหน้าจะสอบได้ 1 สัปดาห์ผมรู้สึกว่าอาการผมหนักมากเพราะบางม้ือก็กินอาหารไม่ได้เลย กลืนไม่ได้ เดินขึ้นบันไดแค่ชิั้นเดียวก็เหนื่อยเหมือนไปวิ่งมาซัก 10 กิโลเมตร และอีกอย่างคือ ตามันเห็นภาพซ้อนมากขึ้น แต่ผมก็คิดว่า ยังไม่ต้องไปสนใจมัน สอบก่อน เรื่องอื่นค่อยว่าทีหลัง วันที่ผมเดินทางเข้า กทม. ไปสอบที่ศิริราชเป็นช่วงเวลาที่ทุกข์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต ไหนจะการสอบวุฒิบัติที่ค่อนข้างจะเครียดแล้ว ยังต้องมาทรนานกับอาการที่แสนจะประหลาดที่สุด ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาผมจะพยายามคิดว่ามันน่าจะเกิดจากความเครียดก็ตาม แต่อาการบางอย่างมันไม่น่าจะอธิบายด้วยความเครียด
การสอบวุฒิบัติครั้งนี้เป็นการสอบที่กดดันมากๆ เดิมพันถึงชีวิตการทำงานในอนาคตเลย เพราะถ้าผมสอบไม่ผ่านจะไม่มีที่อยู่สำหรับผมเลยที่ผมพูดแบบนี้ก็เพราะว่าถ้าผมไม่ได้วุฒิบัติแล้วผมจะไม่สามารถอ่านผลทางพยาธิวิทยาได้ แล้วจะกลับไปทำงานยังไง แบบไหน ขออธิบายนิดหนึ่งครับ ปกติหมอที่จบ แพทย์ศาสตร์บัณฑิตนั้นเมื่อได้ใบประกอบวิชาชีพแล้วกฎหมายนั้นรับรองให้สามารถตรวจคนไข้ได้ สามารถจ่ายยา ผ่าตัด ทำคลอดได้หมด ดังนั้นถ้าหมอมาเรียนต่อเแพาะทางบางสาขาเช่น เป็นหมอสูตินรีเวช หรือหมอผ่าตัด ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะสอบวุฒิบัตรไม่ผ่านก็ยังสามารถมาทำงานผ่าตัด ทำคลอดได้ เพราะแค่จบแพทย์กฎหมายก็อณุญาตไว้แล้ว เพียงแต่อาจจะมีผลในเรื่องเงินเดือนค่าตอบแทนน้อยกว่าหมอที่มีวุฒิบัติ แต่หมอพยาธินั้นถ้าผมสอบไม่ผ่าน ผมจะไม่สามารถออกผลได้เลยเพราะตามกฎแพทยสภาแล้วแพทย์ที่อ่านผลต้องได้วุฒิบัตรแล้ว ดังนั้นถ้าผมสอบไม่ผ่านผมกลับมาจะไม่มีที่อยู่สำหรับผม ดังนั้นจึงเป็นงานบังคับว่า ต้องผ่าน
ที่เล่ามาคือความกดดันที่ผมเจอ ผมรู้สึกว่าตัวเองแบกความเครียดไว้มากเหลือเกิน ผมจะสอบได้ไหม ต้องติดตามกันต่อไป

บทที่ 9 อาการมาครบสูตร

หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลศิริราชมาอยู่เชียงใหม่ อาการต่างๆแปลกๆที่เคยเล่าให้ฟัง มันกลับมาจนครบ ผมคิดว่าแปลกจริง ตอนนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าจะหยุดยาไปเลย เป็นอะไรก็เป็น สอบเสร็จคงหาย ตอนนั้นเป็ช่วงก่อนสอบไม่นาน สภาพผมแทบดูไม่ได้ หนังตาแทบจะปิด มองเห็นภาพซ้อน ไปตรวจกับหมอตาก็ว่าตาแห้ง คงจะเกิดจากดูกล้องจุลทรรศ์มากกเกินไป ได้น้ำตาเทียมมาหยอด ผมคิดในใจว่า ตาแห้งมันทำเห็นภาพซ้อนได้เลยหรือนี่ อาการเห็นภาพซ้อนบางที่เป็นมากจนผมอ่านหนังสือไม่ได้เป็นสัปดาห์ยิ่งทำให้ผมเครียด นอกจากนั้นก็ยังพูดไม่ชัดมากขึ้น กลืนอาหารก็ลำบาก เดินไปก็เริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยง่าย ผมร่วงเริ่มจะร่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะแผลในปากที่ไม่มีแววว่าจะหาย
ที่เล่ามามันเป็นมาก แต่แปลกที่ตอนนั้นผมไม่สนใจอาการพวกนี้เลย ผมคิดว่าคงจะเกิดจากความเครียด ถ้าใครได้ลองไปถามแพทย์ที่เป็นแพทย์ฌฉพาะทางก็จะรู้ว่าการสอบเอาวุฒิบัติเพื่อเป็นแพทย์เฉพาะทางนั้นมันเครียดแค่ไหน เพราะเราต้องรู้จริงในสาขาที่เราจะจบ ต้องอ่านตำราภาษาอังกฤษเป็นเล่มๆแล้วต้องยัดใส่ไปในสมองให้หมด ใครไม่เครียดก็แปลก ตอนนั้นผมไม่สนใจอาการเหล่านั้นเลย คิดเสียว่า สอบเสร็จคงหาย
ยิ่งใกล้วันสอบ ผมที่หัวผมก็เริ่มจะจัดทรงไม่ได้เพราะมันร่วงจนแทบจะไม่เหลือ ตาก็บางทีก็เห็นภพซ้อน บางทีก็ดี นอกนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยง่ายมากขึ้นเรื่อยๆ เดินไกลก็จะรู้สึกเหนื่อยต้องนั่งพัก จริงๆแล้วผมก็กังวลเหมือนกันเกี่ยวกับอาการที่หาคำตอบไม่ได้แบบนี้ แต่ตอนนั้นยอมรับว่ากังวลเรื่องสอบมากกว่า คิดว่าสอบเสร็จแล้วค่อยว่ากัน ผมของผมร่วงมากขึ้น ยาทาก็เอาไม่อยู่ ตื่นมาตอนเช้าจะเห็นกองผมเต็มหมอนเลย สุดท้ายผมต้องไปโกนหัวเพราะมันจัดทรงไม่ได้แล้ว

บทที่ 8 แผลในปากไม่หายง่ายๆ

ก่อนจะสอบวุฒิบัติได้ประมาณ 3 เดือน ผมได้ไปฝึกดูงานเพิ่มเติมที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลา 1 เดือน เหมือนว่าความเจ็บป่วยประหลาดๆที่ผมเป็นมันจะรู้ อาจจะกลัวว่ามาอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังอันดับหนึ่งของประเทศ อาการมันกลับสงบลงอย่างประหลาดทำให้ผมคิดว่าผมคงไม่เป็นอะไร คงไว้คืออาการแผลในปากที่ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าตอนนั้นผมจะอัดด้วยยาสเตรียรอยด์ขนาดสูงมากๆก็ตาม
แค่อากรแผลในปากที่มันกัดกินผมมานาน มันทำให้ผมดำเนินชีวิตลำบากมาก ยิ่งช่วงที่ไปอยู่ที่ โรงพยาบาลศิริราชแล้วรู้สึกว่าแผลในปากมันจะไวต่อพวกพลิกมากๆ เวลากินอาหารที่มีพริก หริกไทย ปนมากเล็กน้อย มันจะแสบแบบสุดๆ ขนาดกินน้ำไปเป็นขวดๆก็ไม่หายจนหลายมื้อผมอิ่มน้ำแทนเลย ตอนที่ไปอยู่ศิริราช เวลาสั่งอาหาต้องบอกว่าอย่าใส่หลิกหรือว่าพริกไทยเด็ดขาด เพราะผมจะกินไม่ได้เลย เคยถึงขนาดทะเลาะกับเด็กเสริพเลย เพราะสั่งว่าไม่ใส่พริก มันดันใส่มา พอผมต่อว่ามันก็เถียงว่า พริกไม่เยอะ เด็กๆก็กินได้ ผมอารมณ์เสียมากจ่ายเงินแล้วออกจากร้านไปเลย
1 เดือนที่อยุ่อยู่ที่ โรงพยาบาลศิริราช แผลในปากนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลยผมเลยตัดสินใจว่าจะหยุดสเตรียรอยด์ดีกว่า กินไปก็ไม่มีผลดี ยิ่งตอนนี้ส่องกระจกแล้วหน้าบวม ท้องลายไปหมด อาการต่างๆน่าจะมาจากความเครียดจากการเตรียมตัวสอบก็ได้ ถ้าสอบเสร็จ มันก็คงดีขึ้นเอง อันนั้นคือความของผมขณะนั้นผมเลยค่อยลดยาสเรียรอดย์ เป็นไงเป็นกัน

บทที่ 7 มนุษย์สเตรียรอยด์

ผมต้องกลับมากปรึกษากับอาจารย์แพทย์ทางด้านโรคผิวหนัง อาจารย์ได้แนะนำให้ผมใช้ยาทาชนิดที่ทำมาจากยากดภูมิคุ้มกัน เป็นยาที่ทำมาทาผิวหนังแต่ก็พอจะทาในปากได้บ้าง

"โรคนี้ยารักษามันไม่ค่อยมี ลองเอาแบบนี้ทาไปก่อน" หลังจากที่ผมได้เอายาทาผิวหนังมาทาปากทำให้ผมรู้เลยว่ารสชาดแล้วร้ายเป็นอย่างไร ทั้งรสทั้งกลิ่นมันไม่น่าพิศมัยเลย

ด้วยความที่ผมทนรสและกลิ่นของยาทาผิวหนังไม่ได้ ผมจึงได้ไปอ่านตำราเกี่ยวกับการรักษา lichen planus อย่างจริงจังทำให้ผมคิดว่าจะต้องกลับไปใช้ยาสเตียรอดย์เหมือนเดิม แต่อาจจะลองกินแบบสูตรใหม่ตามตำรา เพราะทนยาทาไม่ไหว อีกอย่างแผลมันก็เริ่มเป็นมากขึ้นอีก ผมได้คุยกับอาจารย์แพทย์ทางผิวหนัง อาจารย์ก็เห็นด้วย โดยการที่ผมต้องเริ่มใช้ยาสเตรียรอยด์ในขนาดสูง (สูงกว่าครั้งแรก) แล้วคงไว้นานหน่อยจนอาการมันหายไปจึงค่อยลดยา

ในระหว่างนั้นเองผมเริ่มรู้สึกว่ามีอาการประหลาดที่เคยเล่าให้ฟังมันกลับมาวนเวียน แต่มีอากรใหม่กว่านั้นคือผมรู้สึกว่าตาจะอักเสบ แรกๆนั้นผมไม่ได้สนใจมากเพราะตาอักเสบจากการแพ้ลมแพ้ฝุ่น มันเป็นโรคประจำตัวของผมมาแต่ไหนแต่ไร แต่คราวนี้เริ่มรู้สึกว่าจะมีเห็นภาพซ้อนด้วยแฮะ เป็นพักๆแล้วหายไป ผมก็ไม่ได้แอะใจอะไรไป

วันหนึ่งไม่นานนัก ขณะที่ผมทำงานอยู่ในภาควิชา อาจารย์แพทย์ทางพยาธิวิทยาท่านหนึ่งก็ทักผม

"อภิชาติ เธอเป็น Alopecia areata ตรงขมับข้างขวา"

" จริงหรอกครับ" ผมรีบเอามือคลำ ก็พบว่าเป็นจริงๆ

"จะเป็นอะไรอีกล่ะนี่ "

ขออธิบายก่อนน่ะครับ คำว่า alopecia ส่วน alopecia areata เป็นลักษณะผมร่วงชนิดหนึ่งคือร่วงเป็นหย่อมๆ ส่วนใหญ่เป็นกลมๆเท่าเหรียญ สาเหตุก็ส่วนมากก็ภูมิเพี้ยนนี่แหละ ที่มาทำลายรากผมจนมันหลุดร่วง ส่วนสาเหตุที่ทำไมจึงเกิดภูมิเพี้ยนก็ไม่รู้ แต่มักจะเจอสัมพันธ์กับโรคภูมิเพี้ยนอื่นๆ ความเครียดก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อมๆได้

เอาล่ะซิ ผมเริ่มเซ็งเหมือนมันจะเป็นอะไรมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบแปลกๆ จนผมต้องจนปัญญา

" อย่าไปคิดมาก ไปหายามาทาซิ" อาจารย์โรคผิวหนังบอกหลังจากที่ผมไปพบ

"เธออาจจะเครียดเรื่องสอบก็ได้ ผมเลยร่วง"

ว่าแล้วอาจารย์ก็สั่งยาทาให้ผมเป็นยาสเรียรอดย์ชนิดทา

"เอาไปทาซะ"

นี่เรากำลังจะกลายไปเป็นมนุษย์สเตีรยรอยด์แล้วหรือ ผมคิด